GOOGLE FACEBOOK TIKTOK: เครื่องมือการตลาดแบบไหนดีที่สุดตอนนี้

GOOGLE FACEBOOK TIKTOK: เครื่องมือการตลาดแบบไหนดีที่สุดตอนนี้

ตัวผมเองได้ทำการตลาดมาหลายช่องทางแล้ว อย่างเว็บไซต์ผมทำการตลาดผ่าน Google ก็มีคนเข้ามาเป็นหลักหลายล้านเพจวิว อย่างการทำโฆษณาบน Facebook ผมก็มีทั้งการทำเพจ ทำ Content แล้วก็มีการซื้อโฆษณา งบการตลาดที่รวมไปทั้งหมดก็รวมกัน 7-8 หลัก หรืออย่างเครื่องมือใหม่ๆหน่อยแบบ TikTok ผมก็สามารถสร้างให้มีผู้ติดตามหลักแสนคนได้ 

เพราะฉะนั้นในบทความนี้ผมอยากทำขึ้นมาเพื่อแบ่งปันประสบการณ์แล้วก็เรียบเรียงข้อมูลให้ทุกคนดูแล้วกัน ว่าช่องทางการตลาดไหนดีที่สุด และช่องทางการตลาดแบบไหนมันจะเหมาะกับสินค้าแบบไหนบ้าง คนที่ดูจะได้สามารถนำไปเลือกแล้วก็ปรับให้เหมาะกับแผนการตลาดออนไลน์ของตัวเองได้ 

GOOGLE FACEBOOK TIKTOK: แบบไหนดีที่สุดตอนนี้

เรามาเริ่มตั้งแต่เบสิคสุดๆกันหน่อยละกันนะครับ Google เป็นสิ่งที่เรียกว่า Search Engine คือมันเป็นเครื่องมือที่เราจะใช้ค้นหาเว็บไซต์ต่างๆ คำหลักที่เราสนใจก็คือคำว่าค้นหาเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่คนต้องมีคำถามก่อนเลยว่ามีความต้องการก่อนถึงจะไปวิ่งหาสินค้าหรือว่าเว็บไซต์ของเรา

พอเขามีความต้องการแล้วเราก็สามารถปรับเว็บไซต์เราให้มันไปขึ้นตามความต้องการของเขาได้ เช่น ถ้าค้นหาคำว่ารองเท้ากีฬา เราก็สามารถปรับเว็บไซต์เราให้ขึ้นคำว่ารองเท้ากีฬาเพื่อไปดักรอได้

ต่อมาก็คือ Facebook ซึ่งเป็นระบบการตลาดที่ดังมากๆในประเทศไทย Facebook พูดง่ายๆก็คือรูปภาพและวีดีโอครับ คนทั่วไปเล่น Facebook อยู่แล้ว ไถอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้ามาวันนึงเจอรูปภาพหรือว่าวีดีโอของสินค้าเราที่น่าสนใจ เขาก็อาจจะคลิกเข้ามาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของความต้องการลูกค้า แต่จะเป็นเรื่องของการดึงดูดความสนใจคนที่ไม่เคยรู้จักสินค้าเรามาก่อนเลย

และสุดท้ายก็คือเครื่องมือที่เรียกว่า TIKTOK ซึ่งก็เป็นระบบที่ใช้ดึงดูดความสนใจของคนเหมือนกัน แต่จะเป็นผ่านทางการทำวีดีโอแบบสั้นๆ ณ ปัจจุบันยังมีผู้ใช้งานเยอะไม่เท่า Facebook แต่ก็เป็นช่องทางที่โตขึ้นเรื่อยๆและมีอนาคตที่ดีมาก โดยรวมแล้วก็เป็นระบบที่ดึงดูดความสนใจคนเหมือนกันแต่ TIKTOK บอกเองว่าตัวเองเป็นช่องทางที่มีไว้เพื่อ Entertain หรือว่าความสนุก ซึ่งจะต่างจาก Facebook ที่เขาบอกว่าเป็นช่องทางเพื่อเชื่อมโยงคนระหว่างเพื่อนและครอบครัว 

Google ทำงานอย่างไรบ้าง?

ถ้าจะให้พูดแบบง่ายๆก็คือทุกเครื่องมือมีประโยชน์หมด แต่คำถามที่เราต้องถามก็คือเป้าหมายในการใช้แต่ละเครื่องมือของเราคืออะไร โดยเราจะสามารถตอบคำถามนี้ด้วย 2 คำถามนะครับว่า ลูกค้าเราเป็นกลุ่มแบบไหน และ เราดึงความสนใจลูกค้ามาแล้วเราจะทำอะไรต่อ

ยกตัวอย่างนะครับ Google น่ะ ถ้าจะให้ทำดีๆก็คือดึงให้คนมาเข้าเว็บไซต์เราใช่ไหมครับ แปลว่าข้อจำกัดอย่างน้อยที่สุดเลยก็คือเราต้องมีเว็บไซต์ก่อน ซึ่งไม่ได้ทำยากหรอกครับถ้าจะทำเองน่ะงบก็อยู่ประมาณหลักพัน ถ้าไปจ้างคนช่วยออกแบบให้ก็จะอยู่ประมาณหลักหมื่นบาท แต่ว่าพฤติกรรมของผู้ใช้งานบน Google จะต่างจากพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนช่องทางอื่น 

นักการตลาดออนไลน์ส่วนมากจะบอกว่า Google เนี่ยเหมาะจะเป็นช่องทางการตลาดแบบ B2B หมายถึงลูกค้าส่วนมากจะเป็นลูกค้าแนวธุรกิจมากกว่า อาจจะเป็นการซื้อขายแบบโรงงาน การขายปลีก บริการต่างๆสำหรับธุรกิจ เพราะจริงๆแล้วถ้าคนอยากจะซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเขาอาจจะไปซื้อบนแพลตฟอร์ม Shopee Lazada แทนมากกว่า

สำหรับสินค้าเล็กๆน้อยๆ คนจะไม่ได้มาค้นหาบน Google มากขนาดนั้นแล้ว ในความคิดเห็นผมถ้าสินค้าเราราคาหลายพันบาทถึงหลายหมื่นบาทขึ้นไป การทำ Google โอเคมากๆเลย ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณาบน Google หรือว่าการทำ SEO ก็ตาม

Facebook ยังหน้าใช้ไหมในปีนี้?

ต่อมาก็คือช่องทาง facebook ซึ่งในความคิดเห็นผมก็คือเป็นช่องทางที่หลายๆธุรกิจชอบเอามากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เลยกลายเป็นช่องทางที่มีการแข่งขันสูงมากๆ ด้วยความที่ว่าเราต้องทำโฆษณาเพื่อดึงดูดความสนใจของคน สิ่งแรกที่เราต้องใส่ใจก็คือตัวสินค้าเองถ้าสินค้าดีขายง่ายก็สบายเลย แต่ว่าถ้าสินค้าเราเหมือนกับคนอื่นสิ่งที่ต้องแข่งกันก็คือเรื่องของการทำโฆษณา 

โดยเบื้องต้นแล้วสินค้าเราควรจะมีกำไรอย่างน้อยประมาณ 30% ถึงจะคุ้มพอให้ทำโฆษณาได้ จริงๆถ้าอยากได้กำไรก็ควรจะมีกําไรเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างน้อย 40-50 นะครับ อันนี้เป็นตัวเลขที่ผมได้มาจากคนที่ทำการตลาด Facebook หลายๆคน เรียกว่าเป็นตัวเลขเฉลี่ยอุตสาหกรรมก็ได้ แต่ว่าถ้าใครอยากจะรู้ตัวเลขเฉลี่ยของธุรกิจตัวเองสินค้าตัวเอง ก็ลองลงงบน้อยก็ยิงโฆษณาดูก่อนแล้วก็วัดผลเองเลยก็ได้

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้าเราเริ่มจากศูนย์เลย แล้วถ้าเราเริ่มจาก Facebook อย่างเดียว อาจจะต้องมีการเผื่อ budget ไว้ทดสอบโฆษณาหลักหลายหมื่นบาทกว่าเราจะเจอจุดที่ทำกำไรให้กับตัวเองได้ ยกเว้นในกรณีที่สินค้าของเราโดดเด่น หรือว่าเรามีทักษะทางด้านการทำโฆษณาอยู่แล้ว 

ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้นะครับถ้าบอกว่าต้องเผื่อเวลาแล้วก็เผื่อ budget มาในเรื่องของการเรียนรู้ด้วย

TIKTOK คือช่องทางใหม่ที่มาแรง

ทีนี้ก็มาถึง TIKTOK นะครับ TIKTOK เป็นช่องทางที่ผมชอบมากในเรื่องของการเข้าถึง เพราะถ้าจะให้เทียบกับจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ผ่าน Google  หรือว่า จำนวนคนเห็นโฆษณาเราผ่าน Facebook การเข้าถึงของติ๊กต๊อกที่ได้มาเป็นหลักแสนหลักล้านแบบฟรีๆ มันทำให้ 2 ช่องทางแรกดูตลกไปเลย 

แต่มันก็ไม่ใช่ว่าติดต่อกันช่องทางที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เพราะว่าเขาบอกเองว่าเขาเป็นช่องทางเพื่อ Entertainment หรือว่าความสนุก หมายความว่าถ้าเราอยากจะทำ Content TIKTOK เพื่อทำการขายของ creative จะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

แต่ด้วยความที่ว่า 1 คลิปของติ๊กต๊อกใช้เวลาในการทำไม่นาน เป็นคลิปสั้นๆไม่กี่นาที บวกกับการที่ว่าเราไม่ต้องใช้เงินลงทุนในการทำคลิปอะไรมากขนาดนั้น ผมมองว่าติ๊กต๊อกเนี่ยเหมาะสำหรับธุรกิจที่อาจจะไม่ได้มีงบประมาณเยอะ ใช้เวลาเข้าสู้เพื่อพัฒนาช่องทางเป็นของตัวเอง 

ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าเรามีงบการตลาดบ้าง เราสามารถทดลองการทำการตลาดบน facebook ได้ แต่ว่าถ้าเราไม่ได้มีงบเยอะแต่ว่าเรามีเวลาบ้าง ช่องทางบนติ๊กต๊อกก็น่าจะดีกว่า 2 ช่องทางนี้คล้ายกันมากเพราะว่าเราต้องทำ content ให้ดีเพื่อดึงดูดความสนใจลูกค้า 

แต่ถ้าเราบอกว่าสินค้าเราไม่ได้เป็นกลุ่มลูกค้าแบบนี้ขายธุรกิจด้วยกันหรือว่าเป็นสินค้า b2b ผมเคยพูดไว้ การทดลองทำช่องทางบน google ก็อาจจะดีกว่า แต่ว่าต้องมีเว็บไซต์ และระยะสั้นก็ต้องเผื่องบโฆษณาไปทำการทำโฆษณาบน google ระยะยาวสามารถศึกษาเรื่องของการทำ seo เพื่อดึงดูดคนได้

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด