สองเว็บไซต์ที่มีคนเข้าเยอะที่สุดในโลกและในประเทศไทยก็คือ Facebook และ Google ซึ่งแน่นอน สถานที่ไหนที่มีคนเยอะก็ย่อมเป็นโอกาสสำหรับการทำธุรกิจ และก็เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่จนทำให้ทั้ง 2 บริษัทนี้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเยอะที่สุดอันดับต้นๆของโลก
คำถามที่เราพบได้บ่อยสำหรับโลกการตลาดออนไลน์ก็คือ โฆษณา Google Adwords กับ Facebook Ads แตกต่างกันอย่างไร และการในการทำธุรกิจนั้นเราควรเลือกใช้แพล็ตฟอร์มไหนดี ในบทความนี้เรามาตอบคำถามกันครับ
Google Adwords กับ Facebook Ads คืออะไร
Google Adwords คือการทำโฆษณาให้เหมาะกับคำค้นหาของลูกค้าเหมาะกับลูกค้าที่มีปัญหาอยู่และต้องการวิธีแก้ไข ส่วน Facebook Ads คือโฆษณาที่ถูกสร้างให้เหมาะกับความชอบและพฤติกรรมต่างๆ เหมาะกับลูกค้าไม่ไม่รู้ถึงปัญหาตัวเอง ต้องให้ธุรกิจดึงความสนใจ
โฆษณา Google Adwords จะเข้าถึงเป้าหมายของลูกค้าได้ดีกว่า และโฆษณาของ Facebook Ads จะเข้าถึงความสนใจได้ตรงมากกว่า…จำประโยคนี้เอาไว้ก่อน เดี๋ยวผมจะอธิบายเพิ่มภายหลังนะครับ
ก่อนที่เราจะพิจารณาว่า Google Adwords กับ Facebook Ads ต่างกันอย่างไรและ โฆษณาแบบไหนที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณ เรามาลองดูพื้นฐานกันก่อนว่าแพล็ตฟอร์มทั้งสองอย่างคืออะไร มีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง
Google Adwords คืออะไร? ดียังไง?
Google Adwords คือระบบโฆษณาของ Google ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณจัดอันดับคำค้นหาได้สูงมากขึ้น เพื่อทำให้ผู้ใช้ Google สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของกิจการคุณได้มากขึ้น (ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Google Ads)
ถึงแม้ว่า เว็บไซต์จัดลำดับเว็บไซต์อื่นๆจะมีอยู่เยอะ (เช่น Yahoo Bing) แต่ส่วนมากแล้ว เรียกว่า 99% ของคำค้นหาต่างๆในอินเทอร์เน็ต ก็มาจาก Google
โดยเครื่องมือโฆษณา Google Adwords ใช้คำค้นหา (หรือ keyword) ในการแยกกลุ่มลูกค้า หากคุณทำโฆษณา Google โดยเลือกซื้อคำค้นหา ‘อาหารแมว’ เว็บไซต์ของคุณก็จะแสดงผลเป็นอันดับต้นๆบน Google สำหรับผู้ใช้งานที่พิมพ์คำว่า ‘อาหารแมว’
จำนวนผู้ใช้งานที่พิมพ์แต่ละคำลง Google ก็มีไม่เท่ากัน บางคำก็มีคนค้นหา 10 กว่าคนต่อวัน บางคำก็มีเป็น 100,000 คนต่อวัน
Facebook Ads คืออะไร? ดียังไง?
Facebook Ads คือโฆษณาในรูปแบบคำพูด รูปภาพ หรือวีดีโอ ที่แสดงขึ้นมาให้กับผู้ใช้งาน Facebook โดย Facebook แยกประเภทผู้ใช้งานด้วยความชอบหรือพฤติกรรมต่างๆ
จุดแข็งของ Facebook ก็คือจำนวนผู้ใช้งาน นอกจากนั้นแล้ว โฆษณาบน Facebook ยังมีลูกเล่นหลายอย่าง คุณสามารถใช้รูปภาพหรือวีดีโอก็ได้ และก็ยังมีหลายช่อง (Placement) หากใช้เป็น ก็จะหลบหลีกการแข่งขันได้เยอะ
กลุ่มเป้าหมาย (Audience) ใน Facebook แต่ละกลุ่มก็มีจำนวนไม่เท่ากัน ‘จำนวนลูกค้า’ และ ‘ความสนใจ’ ก็เป็นสองปัจจัยที่ผู้ทำโฆษณาต้องเลือกและทดสอบให้ดี สำหรับวิธีการลงโฆษณา Facebook ผมแนะนำให้อ่านบทความแบบละเอียด สอนจูงมือทำได้ที่นี่นะครับ วิธีลงโฆษณา Facebook ใครก็ทำได้
Google AdWords และ Facebook Ads โดยพื้นฐานแล้วเรียกว่าเป็นโฆษณาออนไลน์แบบ Pay Per Click (PPC) ซึ่งจะคิดเงินค่าโฆษณาตามจำนวนลูกค้าที่คลิกเข้ามาในโฆษณาของคุณจริงๆ อาจจะเป็นคลิกละ 1 บาท หรือ 100 บาท ขึ้นอยู่กับการแข่งขัน (และคู่แข่งคนอื่นๆที่ประมูลแย่งตำแหน่งโฆษณากับคุณ)
คนที่เคยใช้บริการโฆษณา Google และ Facebook ก็คงรู้ว่าจริงๆแล้วบริการของทั้ง 2 บริษัทมีมากกว่า PPC อย่างเดียว แต่คำว่า PPC กลายเป็น ‘ภาษากลาง’ ที่นักการตลาดดิจิตอลใช้กัน เรียกว่าคนส่วนมากเหมารวมทุกระบบโฆษณาที่ 2 เจ้าทำว่าเป็น PPC ก็ได้
โฆษณา Google Adwords กับ Facebook Ads ต่างกันยังไง
ชนิดของลูกค้า
Intent (เป้าหมาย) และ Interest (ความสนใจ) คือข้อแตกต่างหลักระหว่าง Google และ Facebook
หากคุณคิดในมุมมองของลูกค้า เวลาที่คุณรถเสียกลางถนน คุณก็คงไม่ ‘ไถ Facebook’ หาช่างซ่อมรถ แต่คุณจะเข้าไปหาช่างซ่อมรถบน Google แทน
นั่นก็เพราะว่าผู้ใช้งาน Facebook ถูกแบ่งกลุ่มด้วยความสนใจและพฤติกรรมต่างๆ (Interest และ Behavior) เช่นผู้หญิงที่ชอบดูสินค้าแฟชั่น และเข้าเว็บไซต์ขายของออนไลน์บ่อยๆ ส่วน Google แบ่งลูกค้าด้วยเป้าหมาย (Intent) ของผู้ใช้งาน เช่นคนที่ค้นหาอาหารแมว หรือคนที่หาวิธีขัดห้องน้ำ
วิธีการใช้งาน
การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization) คือหัวใจหลักของการทำ Facebook และ Google การทำโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์เหล่านี้ต้องมีการทดสอบ วัดผลข้อมูล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง วิธีไหนที่ทำได้ดีก็ต้องเพิ่มงบ วิธีไหนที่ไม่เกิดกำไรก็ต้องตัดทิ้ง
ถึงแม้ ‘เครื่องมือ’ ที่ใช้ยิงโฆษณาของทั้งสองแพลตฟอร์มจะไม่เหมือนกัน (Facebook Ads Manager และ Google Ads) แต่โดยรวมแล้ววิธีและขั้นตอนการใช้งานแพลตฟอร์มโฆษณาทั้งสองอย่างนี้ก็เหมือนกัน (การเริ่มต้น-ทดสอบ-ปรับเปลี่ยน) แปลว่าคุณต้องศึกษาวิธีอ่านข้อมูล และมีวินัยในการกลับเข้ามาดูอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนนี้จะเสียเงินเรียน จะจ้างคนทำให้ หรือจะเรียนด้วยข้อมูลฟรีๆในเนต ก็แล้วแต่ทักษะ ความชอบ และ เวลาที่แต่ละคนมีเลย แต่โดยเบื้องต้นแล้ว ก่อนที่จะเริ่มเสียเงินทำอะไร คุณก็ควรทำความเข้าใจพื้นฐานก่อน
Segmentation (การเลือกกลุ่มลูกค้า) คือหัวใจหลักในการทำกำไรของทั้งสองระบบ ในส่วน Facebook ก็คือการเลือกช่วงอายุ เพศ พื้นที่ หรือ อุปกรณ์ที่ลูกค้าใช้เพื่อตัดกลุ่มคนที่ทำกำไรน้อยออก ส่วนของ Google ก็สามารถทำได้เหมือนกัน ที่จุดแตกต่างหลักก็คือการเลือก Keyword หรือคำค้นหาที่มีความเจาะจงมากกว่าเดิม หรือที่คนเรียกกันว่า Niche Keyword (เช่นจาก อาหารแมว เป็น อาหารแมวสำหรับแมวท้อง)
ค่าใช้จ่าย
ส่วนมากแล้วนักการตลาดออนไลน์ที่ต่างประเทศจะบอกว่าโฆษณา Google แพงกว่า Facebook นิดหน่อย (ต่อราคาคลิก) อย่างไรก็ตามคำตอบนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และคุณก็ไม่ควรจะใช้แค่เพียงตัวเลขนี้ในการตัดสินว่าโฆษณาแบบไหนดีกว่า
คำถามที่ดีกว่าก็คือ ‘ช่องทางไหนทำเงินให้เราได้มากกว่า’ และคำตอบก็คือไม่มีใครตอบได้ คุณต้องทดสอบเอง เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า คู่แข่งในอุตสาหกรรมและฝีมือการตลาดของคุณ
ถึงแม้จะมีหลายคนบอกว่าทำโฆษณา Facebook-Google วันละไม่กี่ร้อยก็เห็นผลได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว กว่าคุณจะได้ข้อมูลมากพอที่จะตัดสินว่ากำไรหรือไม่กำไร คุณก็คงต้องลงงบไป 7-8000 ถึง 20,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งคุณจะยิงให้งบหมดในหนึ่งอาทิตย์หรือจะกระจายยิงโฆษณาตลาดสองเดือนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของคุณแล้ว
ชนิดของสื่อ
จากตัวอย่างที่ผมได้แสดงไว้ให้ดูแล้ว เราจะเห็นได้ว่าโฆษณา Google Ads นั้นค่อนข้างเรียบง่าย มีแค่ตัวอักษรไม่กี่ประโยค ซึ่งคุณก็ต้องใช้โอกาสที่มีจำกัดนี้ให้ลูกค้าคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ หรือโทรติดต่อเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ Facebook นั้น เราสามารถทำโฆษณาได้หลายอย่าง โดยโฆษณาที่ได้ผลดีที่สุดตอนนี้ก็คือรูปภาพและวีดีโอ นอกจากนั้นแล้วช่องทางการลงโฆษณาใน Facebook ก็มีเยอะ คุณสามารถลงโฆษณาบน ‘News Feed’ ‘Instant Articles’ ‘Right Column’ ‘Audience Network’ หรือ Messenger ก็ได้ และก็ยังสามารถลงโฆษณาใน Instagram ได้อีก ดูตัวอย่างตัวเลือกได้ด้านล่างเลยครับ
(จริงๆแล้วรูปแบบโฆษณาของ Google ก็มีอย่างอื่นเช่นกัน หากคุณอยากทำโฆษณาวีดีโอ คุณก็สามารถลงโฆษณาบน YouTube ได้ และ Google ก็ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Shopping ที่แสดงภาพสินค้าได้เหมือนกัน)
สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนทำโฆษณา
โดยรวมแล้ว หากคุณอยากจะเสียเงินทำโฆษณา คุณก็คงมีจุดประสงค์ที่จะอยากขายใช่ไหมครับ ในส่วนนี้คุณก็ต้องกังวลว่า ‘ทำโฆษณาแล้วจะปิดการขายได้อย่างไร’
ในส่วน Facebook คุณจะปิดการขายใน Facebook Messenger (พูดอีกอย่างว่า ให้คนทักมา) เลยหรือเปล่า หรือจะต้องให้ลูกค้าโทรเข้ามาอีกที อย่างไรก็ตาม โดยเบื้องต้นแล้วคุณจำเป็นที่ต้องมี Facebook Page ซึ่งก็ทำไม่ยากเท่าไร และ ก็ไม่มีค่าใช้จ่าย
ในส่วนของ Google คุณคงต้องใช้การให้ลูกค้าโทรเข้ามา หรือกดเข้าไปในเว็บไซต์ ซึ่งหากเป็นกรณีหลัง คุณก็ต้องมีหน้าเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อขายของลูกค้า หรือ โน้มน้าวให้ลูกค้าติดต่อเข้ามาอีกที (ภาษาการตลาดเรียกว่า Sales Page)
LINE ไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่คุณสามารถผลักดันให้ลูกค้าเข้ามาหาได้ผ่านโฆษณาต่างๆ ถึงแม้บริษัทนี้จะมีทีมงานเล็กกว่า Google Facebook แต่หากคุณอยากจะใช้เพื่อพูดคุยกับลูกค้าอย่างเดียว LINE ก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดี
คำแนะนำจากผมก็คือ ไม่ว่าคุณจะทำโฆษณาแบบไหน ให้รีบออกแบบเว็บไซต์โดยด่วน (มีเงินไม่กี่พันบาทก็จ้างฟรีแลนซ์ได้แล้ว) เพราะคุณจะสามารถควบคุมข้อมูลของลูกค้าได้มากกว่า ใช้ทำเครื่องมือโฆษณาแบบลึกอย่าง Facebook Pixel และ Google Display Ads ได้ภายหลังด้วย ซึ่งธุรกิจส่วนมากก็กำไรจากการใช้เครื่องมือเหล่านี้
บริการเสริมอื่นๆ
Retargeting (เข้าหาคนที่แสดงความสนใจ) คือหัวใจหลักที่แท้จริงของการตลาดออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นการหาลูกค้าผ่าน Intent (เป้าหมาย – Googel) และ Interest (ความสนใจ – Facebook) ลูกค้าเหล่านี้ก็เป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยเจอคุณมาก่อน หากลูกค้าเหล่านี้ไม่ได้ชอบสินค้าคุณ หรือต้องการคุณจริงๆ โอกาสที่จะขายก็ทำได้ยาก
เพราะฉะนั้น ‘กำไร’ ของการทำโฆษณา Google Adwords กับ Facebook Ads จะอยู่ที่การทำโฆษณาให้กับลูกค้าที่เคยทักเข้ามาแล้ว เคยกดมาดูโฆษณาคุณแล้ว หรือเคยเข้ามาดูหน้าเว็บไซต์และหน้าเพจเฟสบุ๊คแล้ว ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะซื้อมากกว่า
Facebook Pixel และ Google Retargeting/Remarketing (Google Display Network) เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ Retargeting ได้ดี Pixel คือการบอก Facebook ว่าลูกค้ากลุ่มไหนที่สนใจในเว็บไซต์และโฆษณาเราแล้ว ส่วน Google Display Ads ก็จะช่วยทำให้เราเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้เช่นกัน แต่มีลูกเล่นก็คือเราจะทำโฆษณาเป็นรูปแบบภาพได้ด้วย ไม่ต้องเป็นแค่คำพูดเหมือนก่อนๆ
แต่ Retargeting ก็เป็นเครื่องมือที่ต้องมีการเก็บข้อมูลเยอะ ส่วนมากแล้วก็ต้องทำโฆษณาไปก่อน 2-3 เดือน กว่าจะเริ่มใช้เครื่องมือพวกนี้ได้ (หากข้อมูลไม่มากพอ Facebook-Google จะทำงานได้ไม่ดี)
ข้อดีก็คือหากคุณมีข้อมูลแล้ว คุณสามารถยิงโฆษณาข้ามแพล็ตฟอร์มได้ หมายถึงยิง โฆษณา Retargeting คนที่ติดต่อผ่าน Google ด้วยโฆษณา Facebook หรือจะทำในทางกลับกันก็ได้ เพราะสุดท้ายลูกค้าก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าเขาจะเข้ามาเจอคุณผ่านช่องทางไหนก่อน ช่องทางไหนหลัง
สรุปความแตกต่างระหว่าง Facebook และ Google
หากคุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการตลาด สิ่งแรกที่ควรพิจารณาก็คือ การสร้างความแตกต่าง และเคล็ดลับของการสร้างความแตกต่างก็คือ ‘การเลือกช่องทางการตลาดที่มีการแข่งขันน้อย’ (แตกต่างด้วยทำเลและช่องทางการขาย)
หากคุณคิดว่า Facebook มีคู่แข่งเยอะ ค่าโฆษณาแพง คำแนะนำที่น่าพิจารณาก็คือการ ‘ถอยออกมา’ สร้างฐานลูกค้าในช่องทางอื่นที่ทำได้ง่ายก่อน (อาจจะเป็น Google YouTube Twitter หรืออะไรก็ได้) พอเราแข็งแกร่งมีทุนมากขึ้นแล้วค่อยกลับมาเล่นตลาดที่มีการแข่งขันเยอะ
ข้อคิดสุดท้ายสำหรับหัวข้อนี้ ก็คือทั้ง Facebook และ Google สามารถตอบโจทย์ได้แค่การหา traffic (คนเข้าเว็บไซต์หรือคนเห็นโพส) ความท้าทายหลักของนักการตลาดออนไลน์ ก็คือการเปลี่ยน ‘ผู้เยี่ยมชม’ เหล่านี้ให้กลายเป็นลูกค้าผ่านเทคนิคการตลาดอื่นๆ
บทสรุปของโฆษณา Google Adwords กับ Facebook Ads
สุดท้ายแล้ว เคล็ดลับที่คุณอาจไม่ได้คิดมาก่อนก็คือ เราใช้ Facebook และ Google ควบคู่กันได้ และไม่มีกฎหรือนโยบายไหนที่บังคับให้เราต้องสนใจแค่ Google หรือ Facebook อย่างเดียว
เวลาที่มีคนบอกคุณว่าช่องทาง Facebook หรือ Google ทำกำไรให้เขาเยอะ ให้ถามกลับอย่างใจเย็นว่า ‘เมื่อไร’ และ ‘กลุ่มลูกค้าแบบไหน’ เราจะเห็นได้ว่าช่องทางการตลาดออนไลน์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก วิธีทำการตลาดที่กำไรเยอะเมื่อ 3 ปีที่แล้ว กลับทำให้หลายธุรกิจขาดทุนในปีนี้ หากคุณไม่ได้ทดสอบ ไม่ได้เห็นตัวเลขด้วยตัวเอง คุณก็อย่าเพิ่งใจร้อนรีบคว้าโอกาสจากลมปากคนอื่นนะครับ
สิ่งสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์คือการอ่านข้อมูลและจัดลำดับความสำคัญ หากคุณเป็นคนที่กำลังเริ่มต้นทำการตลาดและกำลังศึกษาพื้นฐานอยู่ ข้อแนะนำก็คือให้เริ่มจากแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุดก่อน (ตามคำแนะนำในคู่มือนี้) แล้วพิจารณาช่องทางการตลาดอื่นๆ หลังจากที่ช่องทางแรกอยู่ตัวแล้ว