Facebook ถือว่าเป็นสื่อโซเชี่ยล (Social Media) ที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากทั่วโลกมีคนใช้งาน Facebook มากถึง 2,000 ล้านคนต่อเดือน
ดังนั้นหากต้องการให้มีคนรู้จักแบรนด์หรือสินค้าและบริการของธุรกิจ จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือใน Facebook ให้เกิดประโยชน์ด้วยการทำโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจะได้เกิดการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการ
ประเด็นสำคัญคือ ทุกคนรู้ว่า Facebook สำคัญจริง แล้วก็ได้มีการลงโฆษณาไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครทักแชทเข้ามา แล้วอย่างนี้เราควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร นี่คือเรื่องที่ผมจะมาชวนคิดในวันนี้
ลงโฆษณา Facebook แล้วไม่มีคนทัก แก้อย่างไร?
หากเปรียบ Facebook เหมือนคนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน ก็เป็นธรรมดาที่เราย่อมไม่มีการพูดคุยหรือทักทายกับคนที่ไม่รู้จัก แต่ถ้าอยู่ดี ๆ มีคนเรียกร้องความสนใจขึ้นมา อาจจะเป็นการตะโกนหรือทะเลาะวิวาทกัน ผู้คนก็จะหันไปมองหรือให้ความสนใจ
Facebook ก็เช่นกันที่ทุกคนมี account เป็นของตัวเอง แถมบางคนยังมีกันหลาย account อีก ดังนั้นหากต้องการให้มีคนสนใจ Facebook ของแบรนด์หรือธุรกิจก็จะต้องมีการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ให้คนบนโลกโซเชี่ยลได้รู้จักตัวตนของเราเสียก่อน
ปัญหาอยู่ตรงที่ทำโฆษณาแล้วแต่ไม่มีคนสนใจ เรื่องนี้แก้ไขได้ไม่ยากหากเราเข้าใจบทบาทและฟังก์ชันการทำงานของ Facebook อย่างชัดเจนแล้วนำมาปรับใช้กับแบรนด์หรือธุรกิจของเรา ซึ่งปัญหาหลัก ๆ มีด้วยกัน 2 ข้อประกอบด้วย
ปัญหาที่ 1: การยิงโฆษณา Facebook ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
อย่างที่บอกว่า Facebook ก็เหมือนคนผ่านทาง หากไปทักถูกใครที่ไม่สนใจเรา เขาก็แค่ไถหน้าจอผ่านไปไม่ก็ถ้ารำคาญมากก็ลบเพื่อนไปก็จบ ถ้าแบรนด์หรือธุรกิจไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จะต้องทำการบ้านด้วยการกำหนด Brand Positions และกลุ่มเป้าหมายก่อนว่าสินค้าหรือบริการของแบรนด์หรือธุรกิจเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใด จึงค่อยกำหนดขอบเขตการยิงโฆษณา Facebook ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งจะช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการทำโฆษณาบน Facebook ได้มาก
โดยเทคนิคในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายบน Facebook สามารถทำได้ 2 วิธีคือ
#1 กำหนดกลุ่มเป้าหมายบน Facebook แบบกว้าง
ยกตัวอย่างเช่น ขายสินค้าเสริมความงามประเภทเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ได้สำหรับผู้หญิงอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปถึงวัยเกษียณ จะทำให้แบรนด์หรือธุรกิจมองเห็นภาพกลุ่มเป้าหมายบน Facebook แล้วว่าใครบ้างที่จะมาเป็นลูกค้าของแบรนด์หรือธุรกิจได้
หลังจากนั้นจึงเลือกใช้เครื่องมือการสร้างกลุ่มเป้าหมายแบบกว้างบน Facebook ซึ่งเลือกได้ตั้งแต่ เพศหญิง อายุตั้งแต่ 18 – 65 ปี ผู้ใช้งาน Facebook ที่มีความสนใจเรื่องผลิตภัณฑ์เสริมความงาม
นอกจากนี้การเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบกว้างยังสามารถกำหนดการยิงโฆษณาแบบเจาะจงไปถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น ชอบซื้อของออนไลน์หรือสนใจค้นหาข้อมูลด้านความสวยความงาม แบรนด์หรือธุรกิจก็เลือกเจาะจงในการยิงโฆษณาไปยังคนกลุ่มนั้นได้เช่นกัน
#2 กลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลที่ธุรกิจมี (Custom Audience)
วิธีนี้เหมาะสำหรับแบรนด์หรือธุรกิจที่เคยยิงโฆษณา Facebook แบบกว้างมาก่อนและมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะเป็นวิธีที่ใช้ตอกย้ำกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้เคยยิงโฆษณา Facebook ไปแล้วและต้องการสร้างให้เกิดปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน
เช่น การซื้อขาย เข้ามาดูคลิป หรือกดไลก์กดแชร์เพจของแบรนด์หรือธุรกิจ คล้ายกับการที่ลูกค้าช่วยบอกต่อตัวตนของแบรนด์หรือธุรกิจให้กับคนที่ยังไม่รู้จักได้เกิดการรู้จักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้โดยการเลือกยิงโฆษณาไปยังคนที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจ เคยดูวิดีโอหรือเคยเข้าไปดูเว็บไซต์ของแบรนด์หรือธุรกิจก็ได้
ปัญหาที่ 2: ภาพโฆษณาที่ไม่ดึงดูด
ข้อนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกข้อของแบรนด์หรือธุรกิจที่ต้องมีการตรวจสอบ แก้ไข และปรับปรุงอยู่เสมอเช่นกัน เพราะถึงแม้แบรนด์หรือธุรกิจสามารถยิงโฆษณา Facebook ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ถูกกลุ่มแล้ว
แต่ถ้าคนกลุ่มนั้นแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเพราะเพจหรือเว็บไซต์ของเราไม่มีอะไรน่าสนใจก็ถือเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณในการยิงโฆษณา Facebook อยู่ดี
โดยสาเหตุที่เพจหรือเว็บไซต์ขาดความน่าสนใจเพราะภาพโฆษณาหรือคอนเทนต์ทำออกมาได้ไม่ดีหรือไม่มีอะไรให้ดึงดูดนั่นเอง เช่น ข้อความโฆษณายาวเกินไป ภาพโฆษณาไม่สอดคล้องกับเนื้อหา ไม่ก็หน้าเว็บไซต์ใช้งานยากหรือตัวอักษรละลานตาทำให้อ่านแล้วปวดตาก็เป็นประเด็นที่ชวนให้กลุ่มเป้าหมายแค่เข้ามาดูแต่ไม่เกิดการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้เช่นกัน
ทางแก้ก็คือ การปรับดีไซน์หรือออกแบบภาพโฆษณาให้มีความน่าสนใจและดึงดูด เช่น ปรับฟอนต์ (Font) แก้พื้นหลัง (Background) หรือเปลี่ยนฟอร์แมต (Format) โฆษณาเช่น จากเคยทำเป็นรูปภาพก็ปรับเป็นคลิปวิดีโอแทน เป็นต้น
ไม่ก็สามารถใช้เครื่องมือใน Facebook อย่าง Dynamic Creative Ads เข้ามาช่วยในการเตรียมทำโฆษณาก็ได้ แค่เตรียมรูปภาพและแคปชันไว้หลาย ๆ แบบแล้วใช้เครื่องมือนี้ในการ Mix & Match แบบออโต้ แค่นี้ก็ทำให้แบรนด์หรือธุรกิจมีภาพโฆษณาให้เลือกปรับใช้ในแต่ละช่วงของการยิงโฆษณาได้
หรืออีกทางหนึ่งที่ช่วยให้โฆษณามีความดึงดูดและน่าสนใจมากขึ้นก็คือแคมเปญการโฆษณาที่ต้องหลากหลาย เช่น การให้ส่วนลด ข้อเสนอของแถม ไม่ก็สิ่งตอบแทนเมื่อมีการแชร์โพสต์ Facebook ต่อ เหล่านี้คือองค์ประกอบที่จะช่วยทำให้การทำโฆษณาบน Facebook มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปคือเราต้องรู้ต้นตอปัญหาจากโฆษณา Facebook
สรุปก็คือวิธีที่จะช่วยแก้ไขเมื่อมีการโฆษณา Facebook แล้วคนไม่ทักคือต้องยิงโฆษณาให้ถูกกลุ่มเป้าหมายและภาพโฆษณาที่ใช้ต้องมีความคิดสร้างสรรค์และน่าสนใจ
แต่สุดท้ายแล้วคนที่ผ่านทางเข้ามาใน Facebook ของแบรนด์หรือธุรกิจจะเกิดการซื้อ-ขายหรือมีปฏิสัมพันธ์ใดต่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสินค้าหรือบริการของแบรนด์หรือธุรกิจตอบโจทย์ความต้องการได้จริง มีการออกแบบโฆษณาที่ดึงดูด
และที่สำคัญคือราคาจะต้องไม่สูงกว่าสินค้าหรือบริการที่มีจำหน่ายในมาร์เก็ตเพลสอื่น เช่น Lazada หรือ Shopee ไม่อย่างนั้นเท่ากับว่าการยิงโฆษณาใน Facebook คือการชวนให้คนเข้ามาเปรียบเทียบคุณภาพและราคาสินค้าและบริการของแบรนด์หรือธุรกิจแล้วหันไปซื้อจากที่อื่นแทน