มาถึงปีนี้นะครับ Facebook ก็เป็นเว็บไซต์ที่มีอายุหลายสิบปีแล้ว ผมคิดว่าคนส่วนมากและธุรกิจส่วนมากเข้าใจดีอยู่แล้วว่าการมีตัวตนใน Facebook ดียังไง เพียงแต่ว่าณตอนนี้เนี่ยทั้ง algorithm แล้วก็พฤติกรรมลูกค้าก็เปลี่ยนไปเยอะในโลกออนไลน์
เพราะฉะนั้นในเวลานี้ผมอยากจะมาสรุปให้ทุกคนฟังอีกรอบว่าถ้าเราอยากจะเริ่มทำโปรไฟล์ Facebook เราให้ดีมากขึ้นในปี 2022 ขึ้นไป เราต้องทำยังไงบ้าง
7 ข้อแนะนำสำหรับโปรไฟล์ Facebook ของธุรกิจคุณ
ผมก็ยอมรับเลยครับว่าอย่างโปรไฟล์เพจของ Thaiwinner ผมนะ ถือว่าเริ่มต้นสาย คือมาเริ่มทำเพจตอนที่การเข้าถึงลดไปแล้ว และผู้ใช้งานใน Facebook หลายคนก็คือย้ายไปเล่นโซเชียลมีเดียอื่นๆ อย่าง Instagram หรือว่า TikTok
ในช่วงแรกที่เราเริ่มทำ Facebook เราอาจจะรู้สึกว่าโพสต์อะไรไปไม่มีใครเห็นเลย แต่ถ้าเราเรียนรู้วิธีจริงๆ มันก็มีวิธีที่ทำให้ Facebook Page ของเราเข้าถึงคนได้เยอะมากขึ้น ยิ่งถ้าเป็นเพจใหม่ๆหรือธุรกิจใหม่ๆ ผมคิดว่าการเพิ่มการเข้าถึงแบบ 10% หรือว่า 100% ก็ยังทำได้ ส่วนนี้เป็นตัวอย่างของเพจของผมที่เพิ่งปรับวิธีทำใหม่
วันนี้ผมก็เลยอยากจะมาแบ่งปันนะครับว่า 7 วิธีที่ทำให้ Facebook Page ของเราดีมากขึ้นมีอะไรบ้าง
#1 Facebook Engagement
เรามาเริ่มที่คำพูดของมาร์คซัคเคอร์เบิร์ก ที่บอกว่าเขาอยากจะทำให้ Facebook เป็นช่องทางที่จะส่ง Content ที่ดีให้เหมาะกับคนที่อยากดู ในภาพรวมก็คือถ้าเราชอบเล่นฟุตบอลแล้วก็จะเห็นเรื่องฟุตบอล ถ้าชอบทำอาหารก็จะเห็นเรื่องอาหาร
เพราะฉะนั้น algorithm หลักของ Facebook ก็ยังคงเป็น engagement หรือว่าการที่มีคนมากดไลค์คอมเม้นหรือว่าแชร์โพสของเราเยอะๆ
ในเรื่องข้อแนะนำการทำ Content ที่คนอยากจะมา engage เดี๋ยวผมจะมาพูดต่ออีกทีนึง แต่หัวใจหลักก็คือ เราต้องเป็นตัวตนที่ลูกค้าหรือจะเรียกว่าลูกเพจ อยากจะมา engage กับเราเยอะๆ
ส่วนมากจะไม่ได้จบแค่เรามีอะไรอยากจะบอกเราโพสต์ไปแล้วก็จบ แต่จะอยู่ที่ว่าเราสามารถชวนเขาคุย ชวนให้อีกฝ่ายออกความคิดเห็นได้ด้วยหรือเปล่า
#2 ข้อมูลเบสิก
ข้อนี้ไม่ได้เรียกว่าเป็นเทคนิคลับอะไรนะครับ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำในยุคนี้แล้ว หลายคนอาจจะทำเป็นแล้ว แต่ว่าถ้ายังไม่มีก็ให้รีบปรับตั้งแต่วันนี้เลย
Facebook คือเครื่องมือให้ลูกค้าหาเราเจอ เพื่อติดต่อเรา แปลว่าเราต้องสร้างหน้าร้านเพื่อตั้งรับลูกค้าเยอะหน่อย รวมถึงการตั้งโปรไฟล์ของเรา
ในส่วนนี้ถ้าชื่อร้าน หรือชื่อเพจเราโดดเด่นคนก็จะพิมพ์หาง่าย ก็จะสะดวกไป 1 ระดับ เพราะส่วนมากแล้วโปรไฟล์เพจที่ผู้ติดตามไม่เยอะถึงแม้ลูกค้าจะพิมพ์ชื่อเป๊ะก็ไม่ได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้รับอันดับการค้นหาที่ 1
แต่ว่าอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของภาพลักษณ์ ซึ่งข้อนี้จะสำคัญมากสำหรับคนที่ทำออนไลน์ 100% คือไม่ได้มีหน้าร้านเราไม่ได้มีตัวตนมาก่อน ในมุมมองลูกค้าใหม่ เขาอาจจะยังไม่สามารถเชื่อใจคุณได้ขนาดนั้น
ก็เอาเป็นว่าพยายามทำให้เพจดูน่าเชื่อถือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ หากไม่เห็นภาพก็ลองไปดูพวกเพจแบบ Mcdonald KFC อะไรแบบนี้ เขาจะลงข้อมูลมาอย่างชัดเจน มีเบอร์ติดต่อ มีที่อยู่ หรือแม้แต่บางทีก็มีไลน์ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเราให้ได้สะดวกสบายที่สุด
#3 Facebook Content
สำหรับเพจใหม่นะครับ ผมอยากให้แบ่ง Content ออกมาเป็น 2 รูปแบบ
หนึ่งก็คือ Content เกาะกระแส ซึ่งจะเข้าถึงคนได้เยอะมากๆในเวลาอันสั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกกระแสที่เราสามารถเอามาเชื่อมโยงกับธุรกิจหรือว่าเพจของเราได้ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเวลานั่งทำ Content ทั้งวัน ในส่วนนี้เราต้องยอมรับว่ามันต้องมีใจรักพอสมควรถึงจะทำ Content ที่ทันเวลาได้ (Real Time Marketing)
ข้อแนะนำคือพยายามเลือกหา Content ที่สามารถมาเชื่อมโยงกับเราได้นะครับ แล้วก็ถ้าหัวข้อไหนเราไม่มั่นใจโดยเฉพาะพวกที่เกี่ยวข้องกับดราม่าหรือว่าการเมือง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่นก็ได้ครับ
ข้อที่สองก็คือ Content แนวความรู้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่ผมทดสอบเองกับเพจผมด้วยนะ Content ให้ความรู้ต่อให้ไม่ได้ต้องเก่งกราฟฟิกก็ยังมีคนกดแชร์
ตอนแรกผมอยากจะแนะนำเป็นให้ทำอินโฟกราฟฟิคหรือว่าให้ทำเป็นวีดีโอสั้นๆสัก 3 นาที แต่จากที่ผมสังเกต แค่ทำเป็นภาพสี่เหลี่ยมด้านเท่าใส่ข้อมูลเข้าไป พิมพ์เนื้อหาโพสต์ประมาณ 500-700 คำ แบบเป็นเนื้อหาจัดเต็ม ก็ถือว่าเป็น Content ที่มีคนกดแชร์ได้บ้างแล้ว
เรื่องการทำ Content ผมมีสอนไว้ 1 บทความแล้ว หากสนใจสามารถไปศึกษาส่วนนั้นได้ ดูได้ที่นี่
#4 Facebook Insights
ถ้าเราเข้าไปใน Facebook เพจเรานะครับ ทางด้านซ้ายเนี่ยจะมีคำว่า Insight อยู่ ข้อมูลก็จะแบ่งได้เป็น 2 ระดับ
ระดับแรกก็คือภาพรวมโดยกว้าง เป็นตัวเลขให้เราเปรียบเทียบว่าอาทิตย์ต่ออาทิตย์เนี่ยเราทำดีขึ้นแค่ไหน ผู้ติดตามเยอะขึ้นหรือเปล่ามี engagement ขึ้นหรือเปล่า แล้วก็ Content อันไหนกำลังมาแรงในเพจของเรา
อันนี้ถ้าเราทำ Content เรื่อยๆแบบโพสต์ทุกวัน การมีฟีเจอร์และก็ทำให้เราเรียบเรียงข้อมูลได้ง่าย
ระดับที่ 2 ก็คือ Audience Insight หรือว่าข้อมูลของผู้ติดตามเรา หน้าตาจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ว่าณปัจจุบันนี้ มันหน้าตาประมาณแบบนี้ เราสามารถดูได้ว่าผู้ติดตามเราส่วนมากมีข้อมูลรวมเป็นยังไง ส่วนนี้แนะนำให้มีผู้ติดตามหลักพันกว่าคนขึ้นไปก่อนนะครับข้อมูลจะได้ชัดเจน
พื้นฐานก็คือดูอายุ แล้วก็เพศ แต่ถ้าไปตรงที่เขียนว่า Potential Audience หรือคนที่สามารถเป็นกลุ่มเป้าหมายได้ เลื่อนไปด้านล่างสุดเราจะเห็นคำว่า Top Pages แปลว่าผู้ติดตามเราส่วนมากมีพฤติกรรมชอบติดตาม Content จากเพจเหล่านี้ ก็คือเป็นไอเดีย 5 เรานั่นแหละว่า Content ที่เราจะทำควรจะเป็นเนื้อหาแบบไหน
อย่างของผมน่ะถือว่าข้อมูลยังไม่ชัดเจนเลยนะครับ โดยรวมแล้วควรจะติดตามช่องทีวีและช่องข่าวใหญ่ๆ ซึ่งมันแปลว่าคนชอบ Content ใหม่ Content เกาะกระแส แต่ยังไม่สามารถสรุปรวมได้ว่าเนื้อหา Content น่ะควรจะเป็นหมวดหมู่ไหนที่ชัดเจน
#5 เวลาในการโพสต์ที่ดีที่สุดบน Facebook
ที่นี้มาคุยเรื่องของช่วงเวลาที่เราอยากจะโพสต์บ้าง ส่วนนี้ ผมบอกเลยว่าไม่มีตายตัว แต่ถ้าอยากจะเริ่มต้นก่อนผมแนะนำให้เริ่ม 10:00 17:00 และ 20:00 น
แต่ถ้าจะเอาให้ดีนะครับหลังจากที่เราทำ Content มาแล้วประมาณสัก 1-2 เดือน Facebook เขาก็จะรู้ว่าผู้ติดตามในเพจเรามีบุคลิกประมาณเท่าไหร่ ทีนี้ถ้าเราไปดูในส่วน Insights เข้าไปในส่วนของคำว่าโพสต์
ซึ่งบอกก่อนว่าส่วนนี้มันเปลี่ยนแปลงบ่อยมากครับ ตัวผมเองยังงงอยู่เลยทุกวันนี้เพราะว่าปีที่แล้วเปิดมาหน้าตาแบบนึงปีนี้ก็เป็นเปลี่ยนรูปแบบอยู่แล้ว
เอาเป็นว่าในส่วนพวกเขาจะมีบอกว่าสำหรับเพจเรา เวลาไหนในแต่ละวันเนี่ยคนจะเล่นเยอะที่สุด ซึ่งถ้าจะให้ดีเราก็ควรจะเลือกที่จะโพสต์ในช่วงเวลาที่คนเล่นเยอะที่สุดสำหรับ Facebook ของเราเอง
แต่ถ้าจะให้ดีกว่าก็คือ ให้กลับมาดูได้เรื่อยๆทุกๆครึ่งปีอะไรแบบนี้นะครับ เพราะสุดท้ายถ้าเพจของเราโตขึ้นพฤติกรรมผู้ติดตามโดยรวมอาจจะเปลี่ยนก็ได้ อย่างช่อง YouTube ผมเนี่ยเมื่อก่อนคนดูตอนเช้าบ่อยแล้วอยู่ดีๆก็เปลี่ยนไปตอนกลางคืนแล้วก็อยู่ดีก็เปลี่ยนกลับมาเป็นตอนเช้าใหม่
#6 ความถี่ในการโพสต์บน Facebook
หัวข้อนี้ก็มีการถกเถียงกันเยอะนะครับในวงการการตลาด หลายคนก็บอกว่าถ้าโพสบ่อยไปผู้ติดตามเราจะเบื่อแล้วก็จะไม่ชอบ แต่มาในยุคนี้พอการเข้าถึงถูก Facebook ลดตั้งแต่แรกแล้ว ก็มีคนออกมาพูดว่าถ้าอย่างนั้นก็โพสต์ไปเรื่อยๆเยอะๆก็ได้ เดี๋ยว Facebook เขาก็ไปคัดอีกทีว่าจะให้ใครเห็น Content แนวไหน
สำหรับเพจธุรกิจใหม่ๆ ผมก็อยากแนะนำนะครับว่าให้โพสต์เยอะๆเข้าไว้ เพราะยิ่งทำก็ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงคนได้เยอะ
อย่างไรก็ตามก็อยากให้ทำความเข้าใจด้วยว่า Facebook เป็นเกมระยะยาว สิ่งที่เราทำวันนี้ถ้าเราไม่สามารถทำต่อไปได้ตลอดหลายปี ผู้ติดตามก็จะไม่เชื่อมั่นในตัวเราแล้วสุดท้ายก็จะไม่มี engagement
ในความคิดเห็นผมการทำ Facebook ควรจะมีพนักงานหนึ่งคนที่คอยดูแลแล้วก็สร้าง Content เรื่อยๆทุกวัน หรืออย่างน้อยก็คือต้องมีคนที่คิดไอเดียทำ Content
ถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจ เราก็อาจจะใช้ประมาณ 1 ชั่วโมงต่ออาทิตย์หรือว่าประมาณ 1 ชั่วโมงทุก 2 อาทิตย์ก็ได้ มารีวิว Content กับกราฟฟิกหรือคนที่คอยดูแล Social Media ให้เรา
หลังจากที่เรา Content แบบก้อนใหญ่ๆครับ 30 อันแล้ว เราก็ค่อยปล่อยให้เขาตั้งเวลาโพส Content ล่วงหน้าที่นี้เราก็ไม่ต้องมานั่งดูแลเยอะแล้ว
#7 กลยุทธ์รวมกับโฆษณา Facebook
หัวข้อสุดท้ายก็คือเรื่องของการทำโฆษณา
จริงๆกลยุทธ์ของการทำเพจกับการทำโฆษณาบน Facebook จะไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ โฆษณามีไว้หาลูกค้าที่จะซื้อสินค้าเรา ส่วนเพจจะมีไว้บริการลูกค้ามากกว่า เช่นให้ความรู้ลูกค้า หรือว่าโพสต์พูดคุยกับลูกค้าเพื่อหาไอเดียต่างๆ
อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มใหม่ๆ บางครั้งถ้าเราทำ Content ไปเยอะๆโดยเฉพาะ Content ที่เราจ้างคนมาทำให้บางทีมันเสียทั้งเวลาและเงิน หลายๆครั้งผมก็จะแนะนำว่าถ้าเราลงทุนทำ Content ไปแล้วก็โปรโมท Content เพิ่มขึ้นหน่อยก็ดีเหมือนกัน
การโปรโมทผมจะแบ่งมาเป็น 2 แบบ ก็คือโปรโมทเพื่อให้คนมากดติดตามเพจเรามากขึ้น ส่วนนี้ งบแค่วันละ 100 บาทก็สามารถเริ่มต้นได้แล้ว อาจจะไม่ได้เป็นการโปรโมทที่โตแบบก้าวกระโดด (งบน้อยไป) แต่ว่ามันก็จะโตแบบต่อเนื่องเรื่อยๆ เพจไหนมีทุนเยอะหน่อยก็จะจ่ายวันนึง 300 บาท 1,000 บาท อะไรอย่างนี้ก็ไม่ว่ากัน
ต่อมาก็คือการโปรโมทโพสต์ จริงๆแล้วผมอยากจะให้ทุกโพสต์อย่างน้อยมีการเข้าถึงประมาณ 200 ถึง 1000 คนก่อน ไม่อย่างนั้นมันอาจจะไม่เพียงพอที่จะให้ Facebook เขาตัดสินว่าต้องเป็นกลุ่มคนแบบไหนถึงจะต้องเห็นโพสเรา… และ Facebook จะไม่สามารถดันโพสเราได้ให้ถูกกลุ่ม
แต่ถ้าเราไม่ได้มีเงินมากพอที่จะดันทุกโพสให้เข้าถึงคนได้ เอาเป็นว่าถ้าโพสต์ไหนมีการแชร์เยอะหน่อยนะครับประมาณแบบ Top 1 ส่วน 3 หรือว่า Top 1 ส่วน 10 ของ สุดยอด Content ของคุณ ก็ให้ลองซื้อโฆษณาเพื่อโปรโมทโพสต์แนวนี้หน่อยก็ได้ เน้นการเข้าถึง และ engagement ก็พอ
ใครจะไปรู้ครับ เราเลือกลงเล็กๆน้อยๆ แต่บางทีอาจจะได้ Content viral มา 1 ตัว ชีวิตเปลี่ยนเลยก็ได้