หน้าร้านคุณเงียบจนคุณกับพนักงานนั่งเล่นมือถือหรือเปล่าครับ?
หากคุณเปิดร้านขายสินค้าหรือธุรกิจบริการ คุณก็ต้องอาศัยลูกค้าเดินเข้าหน้าร้านของคุณเป็นส่วนใหญ่
ลูกค้าเดินเข้าเยอะเท่ากับว่าโอกาสในการขายของคุณก็เยอะขึ้นด้วย
หากคุณอยากจะดึงลูกค้าเข้าหน้าร้านให้มากกว่าเดิม ให้พัฒนาภาพลักษณ์ของหน้าร้าน ทำการตลาดให้ดีกว่าเดิม ฝึกอบรบพนักงาน และ หาวิธีให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ เราได้คัด 11 วิธีที่คุณสามารถทำตามได้วันนี้เลยให้คุณเลือก
#1 หน้าร้านคุณต้องดูเรียบร้อยน่าเข้า
วิธีแรกที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการจัดหน้าร้านให้ดูสะอาดน่าเข้า คงไม่มีลูกค้าคนไหนอยากเดินเข้าร้านไม่รู้จักที่ดูสกปรก มีฝุ่นบนกระจก การทำความสะอาดหน้าร้านเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน ยิ่งทำเลของคุณติดถนน มีรถวิ่งจนฝุ่นตลบยิ่งต้องทำความสะอาดครับ
นอกจากการทำสะอาดเล็กน้อยแล้ว การดูแลภาพลักษณ์ของหน้าร้านเช่นทาสีใหม่ ตกแต่งให้ดูดี ก็เป็นสิ่งที่คุณควรดูบ้าง
เดินออกไปนอกร้านแล้วลองดูว่ากระจก ประตู กำแพงมีอะไรที่ต้องแก้ไหม หากคุณรู้สึกว่าหน้าร้านไม่มีคนเข้า ให้เรียกพนักงานมาจัดการดูแลเรื่องพวกนี้ หรือจะจ้างช่างฝีมือมาทำก็ให้ก็ได้
#2 ตั้งป้ายเชิญชวนลูกค้า
การเชิญชวนหน้าร้านมีมากกว่าการติดสติกเกอร์หน้ากระจก การตั้งป้ายเชิญชวนคนเข้าร้านเป็นสิ่งที่ทำง่าย ราคาไม่แพง แต่คนชอบลืมคิดถึงกัน คุณอาจจะเขียนอะไรง่ายๆเช่นชื่อสินค้าหรือบริการของคุณ เช่นร้านกาแฟ ร้านตัดผม หรือทำเป็นป้ายโฆษนาโปรโมชั่นอะไรพิเศษก็ได้ (ลดราคา ทาเล็บ 100- ทุกวันพุธ)
ลูกค้าบางคนอาจจะ google ร้านคุณมาแต่หาหน้าร้านไม่เจอเลยไม่ได้เข้าก็ได้ อย่าให้งบการตลาดที่คุณลงไปต้องมาเสียฟรีๆเพราะเรื่องที่แก้ได้ง่ายเลยครับ
ถ้าคุณหาคนออกแบบป้ายไม่ได้ โรงพิมพ์บางที่ก็สามารถช่วยออกแบบให้คุณได้ฟรี อาจจะไม่ใช่ป้ายที่สวยมากมายนักแต่อย่างน้อยก็จะทำให้คนเดินผ่านสะดุดตาได้ก็ดีแล้ว ทำป้ายลงทุนไม่เยอะ ผมแนะนำให้ทำไปเลย ไม่เสียหายอะไรครับ
#3 พนักงานต้องดูมีงานทำเสมอ
ถ้าลูกค้ามองเข้ามาในร้านคุณ สิ่งที่เค้าเห็นคืออะไร ถ้าพนักงานดูเหมือนไม่อยากรับแขกหรือดูว่างเกินไป สิ่งที่ลูกค้าอาจจะคิดก็คือ ร้านนี่ไม่ดีตรงไหน ทำไมไม่มีคนเข้าจนพนักงานดูเบื่อขนาดนี้
ฝึกให้พนักงานแสดงความกระตือรือร้นอยู่เสมอแม้จะไม่มีลูกค้าอยู่ในร้าน เจ้าของร้านก็ต้องทำด้วยนะครับ ไม่ใช่สอนให้ลูกน้องทำแล้วตัวเองเล่นมือถือ
#4 ลงทุนในพนักงาน
ถ้าพนักงานยืนเม้ากันหรือก้มหน้าดูมือถือก็คงไม่มีใครอยากเดินเข้ามา เราต้องสอนให้พนักงานเอาใจใส่ลูกค้า ถ้าบริการคุณไม่ดีก็คงไม่มีใครอยากกลับมาอีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการขายคือสินค้าและการบริการ หากคุณบริการไม่ดี จุดขายของคุณก็จะหายไปเกือบครึ่ง
ร้านค้าขายปลีกใช้เงินเยอะมากในการเรียกลูกค้าเข้าหน้าร้าน แต่ถ้าลูกค้าเข้ามาในร้านแล้วเราดูแลไม่ดี เงินค่าการตลาดก็เหมือนเสียฟรี คุณมีโอกาสเดียวในการสร้างความประทับใจครั้งแรกเพื่อที่จะเอาชนะใจลูกค้า การบริการลูกค้าแบบขอไปทีอาจจะทำให้รีวิวร้านเราในโลกโซเชียลแย่ลงด้วย
วิธีทำให้คนเข้าหน้าร้านด้วยการลงทุนในพนักงานได้แก่
ฝึกพนักงาน การฝึกพนักงานจะทำให้คุณภาพของการบริการเพิ่มขึ้น คุณอาจจะไปจ้างบริษัทอื่นมาทำเทรนนิ่งหรือซื้อคอร์สออนไลน์มาให้พนักงานดูก็ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรที่จะสอนให้พนักงานพูด ขอบคุณลูกค้าหรือยินดีต้อนรับ
สอนให้พนักงาน ‘เตรียมใจ’ พนักงานควรเข้าใจว่าไม่ใช่ลูกค้าทุกคนจะนิสัยดี พนักงานคุณเป็นด่านแรกเวลาเจอลูกค้าวีนหรือโวย หากเค้าไม่เตรียมใจไว้ก่อน เวลาเจอเหตุการณ์จริงจะไม่สามารถรับมือได้ ลูกค้าไม่ได้ถูกทุกคนแต่ลูกค้าก็ยังเป็นลูกค้าอยู่ดี
พนักงานต้องใส่ใจ หากพนักงานมัวแต่พิมพ์โทรศัพท์หรือคุยกันเองโดยไม่ดูลูกค้า ลูกค้าก็คงจะคิดว่าตัวเองไม่ได้รับบริการดีมากพอ
ต่อให้ธุรกิจคุณแย่แค่ไหนคุณก็ไม่ควรเอาอารมณ์ไปลงกับลูกค้า ไม่ว่าอะไรก็ไม่ควรส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ลูกค้า
#5 สร้างตัวตนออนไลน์
นับวันลูกค้ายิ่งใช้เวลาบนโลกออนไลน์เยอะขึ้น ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็พอ
คุณอาจจะบ่นว่าอินเตอร์เนตทำให้คนไม่เดินเข้าหน้าร้าน หรือจะใช้อินเตอร์เนตทำให้คนเข้าหน้าร้านมากขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องมีตัวตนออนไลน์
คุณสามารถเริ่มจากการจ้างคนทำเวปไซต์แบบง่ายๆ แล้วอัพโหลดเมนูหรือรายการสินค้าของคุณขึ้นไป หรือจะไปลิตส์รายการสินค้าคุณไปลงในเวปอย่าง Shopee หรือ Lazada เลยก็ได้
ตัวตนออนไลน์จะเป็นทั้งรายได้เสริม เป็นการสร้างแบรนด์ และทำให้ลูกค้าหาหน้าร้านคุณได้ง่ายมากกว่าด้วย
การซื้อของออนไลน์ได้เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าไปแล้ว ถ้าช่วงไหนที่คนดูแคตตาล็อกสินค้าคุณเยอะเป็นพิเศษ ในอีกสองสามวันลูกค้าจะเริ่มเข้าหน้าร้านมาถามหาสินค้านั้นมากขึ้นแน่นอน
#6 สร้างระบบสั่งของดันคนมาหน้าร้าน
อีกหนึ่งวิธีก็คือการทำระบบให้ลูกค้าสั่งของผ่านระบบออนไลน์และให้มารับของที่หน้าร้านภายหลัง ข้อดีก็คือคุณไม่ต้องเสียเวลาหาคนไปส่งของให้ และถ้าลูกค้าเดินเข้าร้านมาจริง คุณก็สามารถขายของเพิ่มให้ลูกค้าได้อีก
ลูกค้าบางประเภทชอบเข้ามารับของเองหน้าร้าน มากกว่าให้เราส่งไปให้ที่บ้าน และลูกค้าพวกนั้นส่วนมากซื้อของมากกว่าที่สั่งอีก
#7 ประกาศลงที่อยู่คุณให้หมดทุกที่
พวกเวปหรือแอพต่างๆที่ลูกค้าคุณใช้ก็สำคัญตัวอย่างเช่น
- Yellowpages.co.th
- Wongnai.com
- Facebook/ Instagram
- Google My Business
เวปพวกนี้คือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถหาร้านคุณได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ Google My Business ที่เพิ่มการจัดอันดับเวปของคุณใน Google และยังแสดงรูปหน้าร้านคุณอย่างสวยงามในแถบข้างขวาเวลาลูกค้าหาร้านเราใน Google อีกด้วย
Facebook และ Instagram เป็นสองตัวเลือกที่คนไทยใช้เยอะมาก แต่หากเราจะใช้ให้ดีเราต้องมีกลยุทธ์การตลาดเฉพาะทางสำหรับสองอย่างนี้ หากคุณไม่มีความรู้ด้านนี้ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ง่ายตามอินเตอร์เน็ต หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญมาดูแลก็ได
ยิ่งไปกว่านั้นเวปพวกนี้ยังมีระบบให้ลูกค้ามาริวิวอีก ถ้าคุณขอให้ลูกค้ารีวิวได้ คุณก็จะกำไรมากขึ้น
#8 การตลาดผ่านอีเมล
ถ้าคุณทำโปรโมชั่นหน้าร้านอยู่แล้ว คุณสามารถติดต่อบอกลูกค้าเพิ่มผ่านอีเมลล์ได้ ที่สำคัญคือมันฟรี เนื่องจาก Facebook เริ่มลดจำนวนลูกค้าที่เห็นโพสเรา เราเลยต้องหาวิธีใหม่ในการติดต่อลูกค้า
คุณควรเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้า ตั้งแต่อีเมล เพศ ช่วงอายุ ที่อยู่ และประวัติในการซื้อ หากคุณจะไปออกบู๊ทที่ไหนก็ให้ส่งอีเมลไปหาลูกค้าที่อยู่ใกล้เคียงด้วย
อีเมลยังมีประโยช์เวลาคุณอยากทำการตลาดออนไลน์เช่นใน Facebook Ads/Google Ads ด้วยครับ
หากคุณไม่มีระบบเก็บอีเมลในช่วงแรกก็จดลงกระดาษแล้วพิมพ์ไปในตาราง excel ก่อนก็ได้ แล้วค่อยใช้บริการส่งอีเมลฟรีสำหรับการส่งโฆษณาช่วงแรก ในอนาคตหากรายชื่ออีเมลคุณเยอะขึ้น เช่นเกินหลักพัน คุณค่อยหาผู้ให้บริการแบบเป็นทางการอีกที
#9 ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
ลูกค้าหน้าร้านไม่ได้รวมแค่ลูกค้าใหม่ใช่ไหมครับ การทำให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำก็สำคัญมาก
คุณต้องดูแลลูกค้าคุณอย่างดี จนเค้าอยากจะพาพ่อแม่พี่น้องมาที่ร้านคุณอีกรอบ คุณอาจจะมีโปรโมชั่นวันเกิดสำหรับครอบครัว หรือ Ladies Nights เพื่อให้สาวๆพาเพื่อนมาได้ ลูกค้าที่มากลุ่มใหญ่ก็คือรายได้ก้อนใหญ่สำหรับคุณ และบริการพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าจะหาในออนไลน์ได้
เราต้องเข้าใจว่าการหาลูกค้าใหม่มีค่าใช้จ่ายเยอะแถมยังคาดเดายากอีกว่าลูกค้าจะเข้ามาเมื่อไร แต่ถ้ารักษาลูกค้าเก่าได้เราจะกำไรในระยะยาวต่อเนื่องเลย
#10 หาผู้มีอิทธิพลต่อผู้ติดตาม (Influencer)
ให้ลองดูว่ามีโปรโมชั่นอะไรหรือโฆษนาแบบไหนที่คุณสามารถทำร่วมกับคนที่กลุ่มลูกค้าคุณรู้จักได้บ้าง อาจจะไม่ต้องขนาดจ้างดาราก็ได้ ถ้าคุณทำฟาร์มไก่ บางทีคุณอาจจะไปขอสมาคมผู้ผลิตไก่ให้ช่วยคุณโปรโหมดสินค้าเป็นต้น หรือไม่ก็อาจจะส่งสินค้าคุณไปให้บล็อกต่างๆรีวิว
สมัยนี้ผู้มีอิทธิพลต่อผู้ติดตาม (Influencer) อาจจะเป็นคนที่มี Follower เยอะใน Instagram หรือคนที่มีคนดูเยอะใน Youtube ก็ได้ ข้อแนะนำก่อนเลือก Influencer ออนไลน์คือคุณควรขอเค้าดูข้อมูลผู้ติดตามก่อน (Followers Demographics) ว่าใกล้เคียงกับลูกค้าคุณมาแค่ไหน
#10 เปิดคลาส
การเปิดคลาสคือการสอนให้ลูกค้าของคุณเข้าใจสินค้าและบริการคุณมากขึ้น แน่นอนถ้าคุณมีพื้นที่หน้าร้าน คุณก็เปิดคลาสในร้านคุณได้เลย การเปิดคลาสใช้เวลาเตรียมตัวนาน แต่ข้อดีเยอะมากครับ
คุณสามารถสอนลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าหรือการบริการของคุณได้ทีเดียวหลายคนเลยด้วย คนที่เข้าคลาสคุณส่วนมากคือพวกที่สนใจสินค้าของคุณอยู่แล้ว แค่คุณให้ความรู้เค้าอีกหน่อยอีกไม่นานเค้าต้องกลับมาซื้อแน่นอน คนเข้าร้านเยอะ ได้สังสรรค์เยอะ โอกาสในการบอกต่อในโลกโซเชียลก็เยอะขึ้น
สิ่งที่ต้องระวังคือพยายามอย่าขายของมากเกิน ลูกค้าจะรู้สึกอึดอัด เป้าหมายของการเปิดคลาสคือการสร้างแบรนด์และให้ความรู้
คลาสยังเป็นวิธีทำให้ร้านคุณดูคึกคักอยู่ตลอดเวลา (#3) ลูกค้าที่เดินผ่านก็จะสงสัยว่าร้านเราทำอะไรถึงมีคนเข้าร้านเยอะ นอกจากนี้การเปิดคลาสทำให้คุณมีอะไรไปเล่าให้คนที่ติดตามในโซเชียลหรือคนในรายชื่ออีเมลล์ของคุณได้อีกด้วย การตลาดที่ดีจะทำให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด
หากคุณไม่อยากเปิดคลาส คุณสามารถทำอะไรที่คล้ายกันได้เช่นจัดกิจกรรมต่างๆ หรือให้บริษัทอื่นยืมพื้นที่เพื่อจัดกิจกรรมร่วมกันแทน
#11 ให้บริการเพิ่มเติม
ถ้าสิ่งที่คุณขายเป็นสินค้าเฉพาะทางที่ต้องใช้ความรู้บางอย่างเป็นพิเศษ หรือต้องใช้ความชำนานในการบำรุงรักษา ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายเพชร หรือร้านกระเป๋าแบรนด์เนม คุณสามารถเพิ่มบริการซ่อมบำรุงฟรี หรือบริการให้คำปรึกษาฟรีเพื่อดึงให้ลูกค้าเข้าร้านคุณมากขึ้น
หากคุณกลัวขาดทุนก็เก็บค่าใช้จ่ายลูกค้านิดหน่อยในช่วงแรก แล้วถ้าบริการใหม่นี้ขายดีมากค่อยแตกไปเป็นอีกหนึ่งไลน์ธุรกิจไปเลยภายหลัง
การให้บริการจะสร้างรายได้ให้หน้าร้านคุณมากขึ้น และทำให้ลูกค้าคุณรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วย เพราะต่อให้ซื้อมาแล้วใช้ไม่เป็นหรือสินค้าชำรุด ยังไงก็มีคนช่วยดูแลให้ แน่นอนว่าถ้าลูกค้ามาใช้บริการเสริมเรา เค้าก็อาจจะซื้อสินค้าเพิ่มอีกก็ได้
สุดท้าย
สุดท้ายนี้ผมคิดว่าการตลาดที่ดีคือการสร้างอะไรที่ ‘รวมข้อดีของหลายวิธี’ เข้าด้วยกันได้ เช่นคุณเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าจากการทำการตลาดผ่าน Influencer แต่ในอนาคตพอคุณจะทำ Event อะไรใหญ่ๆก็อีเมลอัพเดทลูกค้าเก่าด้วย พอการตลาดหลายอย่างเชื่อมโยงกัน งบการตลาดระยะยาวของคุณก็จะถูกลงด้วยครับ
ผมอยากรู้ว่า ตอนนี้ธุรกิจคุณใช้วิธีอะไรในการเรียกลูกค้าเข้าหน้าร้าน? แล้วมันใช้ได้ผลมากแค่ไหน? แบ่งปันประสบการณ์กันได้นะครับ