การเพิ่มยอดขายออนไลน์นั้นถือว่าเป็นปัญหาหลักของพ่อค้าแม่ค้าหลายคนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งเริ่มขายครั้งแรกที่อาจจะไม่ได้มีความรู้หรือเงินทุนเยอะ
ซึ่งจริงๆแล้ว เรื่องโอกาสด้านการขายของหรือการสร้างรายได้ออนไลน์ยังมีอยู่เยอะครับ แต่ผมอยากจะให้ทุกคนมองโอกาสพวกนี้ว่าเป็นสิ่งที่เราต้องทดสอบหรือศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะลงมือหรือลงทุนทำจริง (เพราะเป็นวิธีลดความเสี่ยงหรือลดโอกาสขาดทุนที่ดีมากๆ)
ในบทความนี้ ผมมี 30 วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์มาให้ทุกคนลองพิจารณาดูครับ หลายวิธีในหัวข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมทำจริงและสามารถสร้างรายได้ได้จริง ผมแนะนำให้ทุกคนลองศึกษาดูและพิจารณาว่าหัวข้อไหนเหมาะสำหรับการนำมาปรับใช้กับธุรกิจค้าขายของตัวเองนะครับ
30 วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์
#1 คุณต้องมีช่องทางการขายเพิ่ม
สิ่งแรกที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนก็คือ ‘ในโลกออนไลน๋ เราห้ามยึดติดกันของเดิมๆ’
หมายความว่าหากทุกวันนี้คุณคิดว่ารายได้หลักคุณมากจากแค่ Facebook Shopee Lazada อะไรพวกนี้อย่างเดียว ทางออกที่จะทำให้คุณโตอย่างก้าวกระโดก็คือการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆ เพราะช่องทางการขายใหม่จะทำให้เราเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ดีและคุณก็จะสร้างแบรนด์ได้ง่ายขึ้นเพราะคุณสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้หลายช่องทาง
#2 ช่องทางการขายระยะยาวสำคัญมาก
ช่องทางการขายบางอย่างทำเงินให้กับเราได้…แต่ก็อยู่กับเราได้ไม่นาน เราก็คงเคยได้ยินว่าเพจเฟสบุ๊คบางเพจที่เมื่อก่อนขายดีมาก แต่อยู่ดีๆก็ถูกปิดการมองเห็นจนตอนนี้ต้องปิดกิจการไป
สรุปสั้นๆก็คือ อะไรที่ทำแล้วขายได้หรือมีกำไรก็ทำต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็คือ เราต้องเจียดเงินไปลงทุนด้านการเลือกช่องทางการขายที่จะอยู่กับเราได้นานๆ ในสมัยนี้สองช่องทางที่จะอยู่กับเราได้นานก็คือการมีช่อง YouTube และการมีเว็บไซต์ที่สามารถดึงคนเข้ามาได้ผ่าน Google (เรียกว่าการทำ Google SEO)
คำแนะนำนี้เหมาะสำหรับร้านที่เปิดมานานแล้วมากกว่า แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เพิ่งเริ่มต้น ก็ให้อ่านหัวข้อต่อไปได้เลย
#3 ลองเพิ่มงบโฆษณา 10-20%
อาจจะเป็นคำแนะนำที่พูดง่าย แต่จริงๆแล้วถ้าเราไม่ทดสอบดูบ้างเราก็ไม่รู้ว่าขายดีแค่ไหน
ซึ่งจริงๆแล้ว คำว่า ‘เพิ่มงบโฆษณา’ ก็สามารถแปลได้หลายอย่าง เราสามารถเพิ่มงบโฆษณาเก่าของเรา ทำโฆษณาใหม่แล้วให้ลูกค้าเก่าดู หรือแม้แต่เอาโฆษณาเก่าเราให้กลุ่มลูกค้าใหม่ดูก็ได้
ในความคิดเห็นของผม การทำโฆษณา Facebook หรือ Google เป็นกระบวนการที่เราควรทำอย่างมีระบบ เพราะหากเราทำให้งานเป็นระบบ เราก็จะพัฒนาได้ง่ายและก็สามารถนำมาทำซ้ำได้ง่ายด้วย อีกอย่างหนึ่งก็คือ งบการตลาดเยอะไม่ได้หมายความว่าจะทำกำไรได้ดี เพระาฉะนั้นเราก็ต้องจับตาดูงบส่วนนี้ให้ดี
#4 ทดลองการทำวิดีโอดูบ้าง
ในแง่ของการตลาดและการขาย วิธีการสื่อสารกับลูกค้าที่ดีที่สุดในยุคนี้ก็คือการทำวิดีโอ ซึ่งก็เพราะว่าวิดีโอนั้นเป็นสื่อที่เสพได้ง่ายมาก
เพราะฉะนั้นทั้งในเรื่องของการทำโฆษณาหรือการทำคอนเทนต์ให้ความรู้ลูกค้า เราก็ควรทดสอบลองทำวิดีโอดูบ้าง อาจจะไม่ต้องลงงบโปรดักชั่นแพงๆก็ได้ บางครั้งการใช้กล้องมือถือถ่ายวิดีโอตัวเองพูดขายหรือให้ข้อมูลลูกค้าก็เพียงพอแล้วในการเริ่มต้น
#5 ดันลูกค้าไปอยู่ใน LINE Official Account
ก่อนอื่นเลย หากคุณยังไม่ได้ทำ LINE Official Account ก็ไปสมัครก่อนนะครับ เพราะเราสามารถทำได้ฟรีๆเลย
ข้อดีของ LINE OA ก็คือเราสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้ง่าย และสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น การส่งข้อความอัพเดทโปรโมชั่นต่างๆนั้นทำได้ฟรี (Broadcast ฟรีหมื่นข้อความต่อเดือน) และหากคุณเป็นคนที่ทำการตลาดมาบ้าง คุณก็คงรู้ดีว่าโอกาสในการพูดคุยกับลูกค้ฟรีๆนั้นมีมูลค่าสูงมาก
และการดันให้ลูกค้าไปอยู่ใน LINE ก็ไม่ได้ยากนะครับ คุณอาจจะใช้ LINE เป็นช่องทางหลักในการพูดคุยกับลูกค้า หรือจะใส่ข้อความไปในกล่องส่งของให้ลูกค้าก็ได้ว่า ‘ติดตาม LINE ของเราเพื่อรับโปรโมชั่นเพิ่มเติมในอนาคต’
#6 วิธีคิดความคุ้มของการ ‘เก็บเงินปลายทาง’
การเก็บเงินปลายทางทำให้เรารับลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งสำหรับหลายๆธุรกิจ ลูกค้าที่ซื้อของแบบ ‘เก็บเงินปลายทาง’ มีมากถึง 60-70% เลยทีเดียว
ปัญหาของธุรกิจส่วนมากไม่ได้อยู่ที่การเริ่มเก็บเงินปลายทาง เพราะสิ่งนี้ทำได้ง่าย แต่สิ่งที่ท้าทายกว่าก็คือจะทำยังไงให้ลูกค้า ‘ไม่เบี้ยวสินค้า’ เพราะลูกค้าบางกลุ่มปฏิเสธสินค้าบ่อยๆ พ่อค้าแม่ค้าก็อาจจะขาดทุนด้านค่าส่งไปกลับได้
วิธีเบื้องต้นก็คือให้ทดลองขายเก็บเงินปลายทางน้อยๆดูก่อน เช่น อาทิตย์ละ 10-20 คนเท่านั้น แล้วลองเก็บสถิติดูว่าลูกค้ากลุ่มนี้เบี้ยวเรากี่คน หลังจากนั้นก็ให้มาคำนวณว่าจำนวณคนที่เบี้ยวพอมาบวกลบกับรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นนั้นคุ้มกันแค่ไหน
#7 จ้างคนดัง Influencer
รูปแบบการตลาดแบบนี้เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว แต่ในยุคนี้เราสามารถหาเพจหรือคนดังออนไลน์ที่มีผู้ติดตามเยอะในราคาที่จับต้องได้ (สำหรับเพจหลักหมื่นผู้ติดตาม เราสามารถจ้างได้ในราคาหลักหลายพัน **ขึ้นอยู่กับการต่อรองอีกที**)
ข้อดีก็คือหากเราหาเพจดีๆ ที่เป็นกลุ่มคนที่เหมาะกับสินค้าเราจริงๆ การตลาดแบบนี้ถือว่าเป็นการตลาดที่มีผลตอบแทนสูงมาก เพราะเราสามารถเสียเงินไม่กี่พันบาทเพื่อเข้าถึงคนหลักหมื่นคน (ที่เป็นกลุ่มคนที่สนใจในสินค้าเราหมด)
ผมแนะนำให้คุณไปลองหาเพจตาม Facebook Instagram (หรือจะ YouTube TikTok ก็ได้) โดยให้ดูแนวคอนเทนต์ที่เพจนั้นๆโพสว่ามีความเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราอยากขายหรือเปล่า ยิ่งถ้าเป็นเพจที่กำลังมาแรง มีคนคอมเม้นท์เยอะ และไม่เคยมีสปอนเซอร์มาก่อน ผลตอบแทนส่วนมากก็จะดีมากๆเลย
#8 สร้างขั้นตอน ‘ขอให้ลูกค้ารีวิว’
การที่เรามีรีวิวเป็นเรื่องดีอยู่แล้วครับ แต่เหมือนกับว่าการขอให้ลูกค้ามารีวิวให้เรานั้นจะลำบากลำบนซะเหลือเกิน
จากประสบการณ์ของผม การขอให้ลูกค้ารีวิวก็สามารถออกแบบให้เป็นระบบได้ ตัวอย่างง่ายๆก็คือการใส่กระดาษพร้อมลิงค์ให้ลูกค้ารีวิวไปในกล่องสินค้าที่เราส่งให้ลูกค้า หรือหากเราอยากจะทำให้มากกว่านี้ก็คือทำเป็นข้อความอัตโนมัติที่เราก๊อปปี้ส่งให้ลูกค้าทุกครั้งที่ลูกค้าส่งใบโอนมา
พยายามเก็บตัวเลขสถิติไว้ให้ดีว่าลูกค้าที่มาซื้อของคุณกี่คนที่เขียนรีวิวให้คุณ บางธุรกิจที่ผมรู้จักมีคนมารีวิวให้มากถึง 30-40% เลยทีเดียว
#9 ‘ขายเพิ่ม’ หลักจากที่ลูกค้าโอนเงินเสร็จแล้ว
การขายเพิ่ม (Upsell) คือการที่เราพยายามโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อของเพิ่มหลังจากที่ลูกค้าเลือกของเสร็จแล้ว อารมณ์เหมือนเวลาคุณไป 7-11 แล้วพนักงานถามคุณว่าอยากรับอะไรเพิ่มหรือเปล่า
แน่นอนว่าการโน้วน้าวให้ลูกค้าซิ้อเพิ่มเป็นสิ่งที่ดีครับ คือเราทำก็ดีกว่าไม่ได้ทำอยู่แล้ว จริงๆแล้วควรจะนำมาประกอบกับกระบวนการขายแล้วทำให้เป็นวินัยเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม หากเรารีบขายเพิ่มเร็วเกินไปลูกค้าบางคนก็อาจจะกลัวหรือรําคาญได้ บางครั้งก็อาจทำให้เสียลูกค้าโดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นวิธีที่นักขายของออนไลน์ทำก็คือเราต้องขายเพิ่มเวลาที่ลูกค้าโอนเงินแล้วเท่านั้น เพราะอย่างน้อยเราก็จะได้ไม่ต้องกลัวเสียออเดอร์แรกไป (หากเป็นการเก็บเงินปลายทางก็คือการขายหลังลูกค้าให้ที่อยู่แล้ว)
#10 เว็บไซต์ที่หาเงินให้เราได้
การมีเว็บไซต์ถือว่าเป็นหัวใจของธุรกิจออนไลน์หลายที่ เพียงแค่ว่าคนขายของออนไลน์ในประเทศไทยอาจจะยังไม่ค่อยถนัดด้านนี้เท่าไร
หน้าที่ของเว็บไซต์ก็คือการ ‘ให้ข้อมูลลูกค้าเพิ่ม’ จริงๆแล้วหลังจากที่เราทำการตลาด ทำโฆษณาให้ลูกค้ากดเข้ามา เราก็ควรผลักให้ลูกค้ากดเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์อีกที เว็บไซต์ลดได้ทั้งปัญหาลูกค้าถาคำถามซ้ำ และ สามารถทำให้เราเก็บข้อมูลส่วนนี้มาต่อยอดด้านการทำโฆษณาออนไลน์ได้อีก (Facebook Pixel / Google Retargeting)
ในสมัยนี้การจ้างคนทำเว็บไซต์ไม่กี่หน้าเพื่อให้ข้อมูลสินค้าเราเพิ่มมีราคาไม่กี่พันบาทเอง แถมเรายังสามารถนำมาประกอบกับการทำวิดีโอเพื่อให้ความรู้คนได้ด้วย ผมมองว่าเว็บไซต์ที่ดีจะทำให้ธุรกิจคุณ ‘อัพระดับ’ ขึ้นมาได้เยอะมาก
#11 การนำเว็บไซต์มาใช้ในการขายด้วย
หัวข้อที่แล้วผมเกริ่นเรื่องการนำเว็บไซต์มาอัพระดับธุรกิจออนไลน์บ้างแล้ว ในส่วนนี้ผมอยากจะแนะนำกระบวนการง่ายๆสำหรับคนที่ไม่ได้เก่งคอมมากนัก
ขั้นตอนก็คือ เราดันให้คนเข้าเว็บไซต์เราจากการตลาดต่างๆ (โฆษณา เพจ ยูทูป หรืออย่างอื่นก็ได้) โดยในหน้าเว็บไซต์เราก็ให้ข้อมูลสินค้า ใส่วิดีโออธิบายไปด้วย แล้วก็บอกให้คนไป ‘แอด LINE’ เพื่อสอบถามเพิ่มเติม
การทำแบบนี้จะทำให้เราสามารถให้ข้อมูลลูกค้าได้มากขึ้น เก็บข้อมูลคนไว้ในเว็บไซต์เพื่อทำโฆษณาต่อ แถมยังทำให้คนมาแอด LINE เพื่อให้สามารถติดต่อลูกค้าในอนาคตได้ด้วย กระบวนการง่ายๆแค่นี้ลงทุนไม่กี่บาท แต่สามารถทำเงินได้เป็นหลักแสนหลักล้านบาทเลยครับ
#12 อย่าทำแค่ Facebook หรือ Google
ช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ดังและมีคนเล่นเยอะที่สุดในไทยและในโลกก็คือ Facebook และ Google ซึ่งสำหรับธุรกิจส่วนมากสองช่องทางนี้ทำเงินได้เป็นหลักล้านอยู่แล้ว
ปัญหาที่ผมเห็นบ่อยก็คือหลายๆธุรกิจทำแค่ Facebook หรือทำแค่ Google อย่างใดก็อย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งช่องทางไหนที่ทำเงินได้เยอะก็ทำต่อไปครับ แต่เราก็ควรทดสอบหาช่องทางออนไลน์อื่นๆด้วย
#13 การประกันสินค้า (ที่ทำเงินให้คุณมากกว่า)
เช่นเดียวกับการเก็บเงินปลายทาง การให้ประกันสินค้าก็เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงเยอะเหมือนกัน หากเราให้ประกัน คนก็จะซื้อของเราได้ง่ายขึ้น แต่หากเราไม่มั่นใจในสินค้าตัวเอง เราก็ต้องกังวลใจตลอดเวลาว่าลูกค้าจะมาคืนของเราเมื่อไร
คำตอบก็เหมือนเดิมก็คือ ‘การทดสอบ’ และ ‘การเปรียบเทียบ’ ให้เราลองให้ประกันสินค้า (หรือไม่พอใจคืนของฟรีใน 30 วันก็ได้) ในบางรูปแบบก่อนเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับยอดขายทั่วไป โดยรวมแล้วยังไงยอดขายก็ต้องเพิ่มขึ้น แต่ข้อแม้คือคุณต้องลองขายดูก่อน 20-30 วันเพื่อดูว่าลูกค้าคืนของเยอะแค่ไหน
จากประสบการณ์ของผม ยกเว้นว่าคุณจะทำการตลาดเกินจริง ขายของแพงเกินไป ส่วนมากแล้วลูกค้าจะไม่ค่อยคืนของเท่าไร แต่อย่างที่ผมบอกไปครับ ยังไงเราก็ต้องทดสอบกับลูกค้าเราก่อน
#14 Facebook Lookalike Audience
หมายถึงการนำฐานข้อมูลลูกค้าที่เรามีมาต่อยอดด้วยการทำโฆษณาของ Facebook ซึ่งหากคุณทำตามข้อแนะนำที่ผ่านมาหรือขายของมาซักพักแล้ว คุณก็น่าจะมีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่บ้าง
Facebook Lookalike Audience เป็นวิธีหาลูกค้าใหม่ผ่าน Facebook ที่ดีที่สุด เพราะวิธีนี้จะอิงข้อมูลลูกค้าใหม่ด้วยข้อมูลลูกค้าเก่าที่เรามี ทำให้ลูกค้าใหม่ที่ Facebook แนะนำมาให้เรามีโอกาสที่จะซื้อมากขึ้น
หากคุณยังไม่เคยลองทำ Facebook Lookalike Audience ผมแนะนำให้ลองศึกษาดูก่อนนะครับ
#15 ทำความเข้าใจ ‘ธรรมชาติ” ของสินค้า
หากคุณขายของมาหลายอย่าง คูณจะรู้เองว่าสินค้าแต่ละอย่างมีวิธีการขายที่แตกต่างกันมาก และก่อนที่เราจะหาวิธีเพิ่มยอดขาย เราก็ต้องย้อนกลับมาดูที่ตัวสินค้าก่อน
ในเบื้องต้น สินค้าราคาหลักร้อยถึงหลักพันก็อาจจะให้ลูกค้าโอนเงินให้เลยได้ แต่สินค้ายิ่งราคาแพงก็อาจจะต้องมีการติดตามลูกค้าเพราะลูกค้าอาจจะไม่ได้ซื้อของทันที (หลายคนบอกว่าของแพงขายยาก ซึ่งจริงๆไม่ได้ถูกซะทีเดียว แค่ต้องติดตามลูกค้านานหน่อย)
#16 พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละช่องทาง
หัวข้อนี้เป็นสิ่งที่โรงเรียนการตลาดและการทำธุรกิจสอนกันอยู่แล้ว แต่ในโลกการทำธุรกิจจริง กว่าผมจะเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้นั้นก็ต้องใช้เวลาสังเกตเป็นปีเลย (แถมต้องเปรียบเทียบพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละช่องทาง สำหรับแต่ละสินค้าด้วย)
ยกตัวอย่างง่ายๆ ลูกค้าบางคนอาจจะอยากซื้อของ แต่เนื่องจากว่าไม่มีเงินสด ก็เลยต้องการซื้อผ่านบัตรเครดิตหรือการผ่อนจ่าย ในบางกรณีลูกค้าบางคนต้องการของถูก แต่ยอมโอนเงินก่อนล่วงหน้าถือว่าเป็นการจองสินค้า
ให้พยายามสังเกตดูดีๆว่าลูกค้าในแต่ละช่องทางการขายของคุณนั้นมีพฤติกรรมยังไงบ้าง ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นได้จากการสังเกตวิธีการพูด ภาษาที่ลูกค้าใช้ หรือแม้แต่คำถามต่างๆที่ลูกค้าถามมา
#17 เราต้องบอกลูกค้าเสมอว่าให้ทำอะไรต่อ
ลูกค้าในโลกออนไลน์นั้นถือว่ามีสมาธิสั้นมาก บางครั้งหากลูกค้าถามเข้ามาแล้วเราตอบไปสั้นๆ ลูกค้าก็อาจจะไม่ถามอะไรต่อหรือว่าปิดหน้าจอไปทำอย่างอื่นแทน
โดยเบื้องต้นแล้ว คุณต้องบอกลูกค้าเสมอว่าต้องทำอะไรต่อบ้าง เช่นในโฆษณาของคุณก็อาจจะบอกให้ลูกค้าทักเข้ามาเพื่อสอบถามเพิ่มเติม หรือหากลูกค้าสอบถามเพิ่มเติมแล้ว คุณก็อาจจะต้องถามลูกค้าต่อว่าที่อยู่ในการจัดส่งคือที่ไหน (หลังจากนั้นค่อยถามว่าเก็บเงินปลายทางหรือว่าจะโอนเงินก่อน)
สำหรับมือใหม่ ผมแนะนำว่าอย่าให้ลูกค้าเป็นคนพูดคนสุดท้าย ต้องมีคำถามหรือว่าขั้นตอนต่อไปแนะนำให้ลูกค้าอยู่เสมอ
#18 อธิบายสินค้าควรให้เด็ก 10 ขวบเข้าใจได้
ไม่ว่าจะเป็นข้อความทางด้านการตลาดในการอธิบายจุดขายของสินค้า บางทีพ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าตัวเดิมมาหลายเดือนหรือว่าหลายปีก็อาจจะหลงลืมใช้คำศัพท์เฉพาะทางที่ลูกค้าใหม่อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ ซึ่งการที่เราเพื่อใช้คำศัพท์ยากโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นการกีดกันลูกค้าในรูปแบบหนึ่ง
หากเราอยากจะขายสินค้าให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น เราก็ต้องเตรียมตัวพร้อมยอมรับลูกค้าใหม่ๆที่อาจจะไม่ได้รู้เรื่องสินค้าเราดีมาตั้งแต่แรกขนาดนั้น เพราะฉะนั้นทุกข้อความทางด้านการตลาดควรจะเขียนให้มันเรียบง่ายมากที่สุด ขนาดเด็ก 10 ขวบยังเข้าใจได้
#19 ใช้ภาษาที่ลูกค้าใช้กัน
ต่อยอดจากข้อแนะนำที่แล้ว เพื่อให้เราสามารถสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าหลักเราได้ดีที่สุด เราต้องหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์เฉพาะทางมากเกินไป และพยายามหาคำตอบที่ลูกค้าใช้มาประกอบกับสินค้าของเรา
ข้อแนะนำนี้บอกอย่างยิ่งสำหรับคนที่ขายสินค้าที่อธิบายยากๆ ยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมต่างๆ คอร์สต่างๆ เพราะในบางครั้งลูกค้าก็ไม่ได้ต้องการที่จะเรียนคอร์สตัดต่อวีดีโอโดยโปรแกรม Adobe Premier แต่ลูกค้าต้องการ ‘สร้างวิดีโอสวยๆได้ด้วยตัวเอง’ ต่างหาก
ให้เราสังเกตวิธีการพูดของลูกค้าให้ดีๆ เฉพาะอย่างยิ่งคำถามต่างๆที่ลูกค้าใหม่มีสำหรับสินค้าเรา เพราะคำถามเหล่านี้คือคำที่เราสามารถนำมาใช้เป็นข้อความทางด้านการตลาดได้โดยตรงเลย
#20 การแจกของฟรี
การแจกของ แถมของ เป็นสิ่งที่คนแนะนำกันเยอะ ส่วนตัวแล้วผมมองว่าเหมาะสำหรับธุรกิจค้าปลีกหลายที่มาก อย่างไรก็ตาม การแถมของส่วนมากขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และทักษะด้านการทำแพ็กเกจดีๆของนักการตลาด (หรือเจ้าของ) มากกว่า
สองตัวอย่างง่ายๆก็คือการไปร้านขายของ 20 บาทแล้วไปซื้อของชิ้นเล็กๆน้อยๆมาแถมลูกค้า ซึ่งหลายร้านในโลกออนไลน์ทำกันนะครับ ส่วนนี้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้จริง อีกหนึ่งตัวอย่างที่สามารถทำได้ก็คือการแถมคู่มือให้ลูกค้าไปใช้ฟรี ซึ่งคุณสามารถอัพโหลดลงไปในเว็บไซต์แล้วเอาพิมพ์ลิงค์ลงไปในกระดาษส่งไปให้ลูกค้าได้เลย (หรือจะส่งไปในไลน์ก็ได้)
#21 การวิเคราะห์งบการตลาด
หลายคนบอกว่างบการตลาดดูได้ง่ายๆ แต่จริงๆแล้วบริษัทใหญ่ๆหลายที่ยอมเสียเงินปีละเป็นหลักล้านเพื่อให้ตัวเองวิเคราะห์ข้อมูลส่วนนี้ได้ดีขึ้นนะครับ
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ได้มีเงินลงทุนเยอะ ผมแนะนำให้คุณดูให้ดีๆว่าในแต่ละวัน คุณใช้เวลาและเงินกับช่องทางการตลาดไหนมากที่สุด และช่องทางไหนทำเงินให้กับคุณเยอะหรือน้อย เรื่องง่ายๆอย่างการปิดโฆษณาที่ไม่ทำกำไร หรือการเพิ่มงบการตลาดส่วนทีทำกำไรให้เราเยอะ เป็นสิ่งที่เราอาจจะไม่รู้เลยหากเราไม่ได้ดูรายละเอียดด้านการตลาดจริงๆ
#22 ‘ใช้เวลา’ ให้เหมาะสม
ผมรู้จักธุรกิจหลายที่ ที่เอาเวลาส่วนมากมาโพสลง Facebook Instagram เยอะมาก ทั้งๆที่ลูกค้าส่วนมากมาจากช่องทางอื่นๆ…หากคุณกำลังสร้างช่องทางใหม่ๆอยู่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าคุณทำสิ่งนี้มานานหลายเดือนแล้วยังไม่เกิดผล ส่วนตัวผมคิดว่าควรที่จะเอาเวลาไปทำอะไรที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากกว่าเดิมดีกว่า
จากประสบการณ์ของผม การใช้เวลา 3-6 เดือนเพื่อสร้างระบบให้กับช่องทางใหม่ๆของเราถือว่าเป็นเรื่องที่โอเคอยู่ แต่หลังจากนั้นเราก็ควรที่จะรีบสร้างระบบ รีบสร้างกระบวนการที่เราสามารถจ้างคนมาทำแทนได้ แล้วก็กระจายงานไปให้คนอื่นทำโดยด่วน เราจะได้เอาเวลาว่างมาสร้างช่องทางใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก
#23 การจัดตำแหน่งสินค้า (ในโพสต์ขาย)
การจัดตำแหน่งสินค้าหมายถึงการที่เราวางตัวแล้วบอกลูกค้าว่าสินค้าเราไม่ได้เหมือนกับสินค้าคู่แข่ง เพราะสามารถตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะทางของลูกค้าได้ เช่นถ้าคนอื่นขายรองเท้าวิ่งธรรมดา เราก็อาจจะวางตำแหน่งสินค้าว่าเป็นรองเท้าวิ่งมาราธอน หรือรองเท้าวิ่งสำหรับผู้หญิง
พยายามอธิบายตำแหน่งสินค้าของคุณให้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในโพสต์ขายหรือว่าในหัวข้อโฆษณาของคุณ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้คุณสามารถตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ ที่สำคัญก็คือทำให้สินค้าคุณดูโดดเด่นมากกว่าคู่แข่งด้วย (ถึงแม้ว่าอาจจะขายสินค้าตัวเดียวกันก็ตาม)
#24 เพิ่มยอดขายออนไลน์…โดยช่องทางออฟไลน์
การตลาดแบบดั้งเดิมเป็นการตลาดที่มีอยู่มานานแล้วใช่ไหมครับ ทั้งเรื่องการทำป้ายโฆษณา หรือการแจกใบปลิว
ในยุคสมัยนี้เราจะเห็นได้บ่อยว่าหลายๆบริษัทซื้อป้ายบิลบอร์ด เพื่อบอกให้ลูกค้าไป Add LINE หรือเข้าไปในเว็บไซต์ทีหลัง ซึ่งในความคิดเห็นของผมก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากๆเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่เคยทำการตลาดแบบนี้มาก่อน เพราะจะทำให้ลูกค้าใหม่ๆเข้าถึงข้อมูลสินค้าคนได้ง่ายมากขึ้น
สำหรับคนที่กลัวเรื่องการลงทุนการตลาดแบบดั้งเดิม ผมแนะนำให้ลองทำอะไรง่ายๆดูก่อน เช่นแจกใบปลิว หรือทำป้ายโฆษณาเล็กๆ แล้วค่อยๆลองสังเกตผลประกอบการ
#25 Social Media มีไว้คุยกับลูกค้า (ไม่ได้มีไว้ขาย)
ในยุคนี้ การใช้ Social Media นั้นเปลี่บยไปแล้ว เพราะลูกค้าส่วนมากไม่ค่อยชอบโพสต์ขายหรือโพสต์โปรโมชั่นเท่าไหร่ ยกเว้นจะเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ
ทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับการทำ Social Media ก็คือการใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางในการให้ความรู้ลูกค้า หรือการทำอะไรให้ลูกค้าสามารถเข้าร่วมได้ (เช่น เล่นกิจกรรมสนุกๆ หรือขอความคิดเห็นจากลูกค้า) … นั่นก็หมายความว่า Social Media จะเป็นช่องทางในการติดต่อลูกค้าเก่า แล้วทำให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ มากกว่าการดึงดูดลูกค้าใหม่ ที่ไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนเลย
#26 เราได้ทดสอบการส่งฟรีหรือยัง
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องทำการทดสอบหมดครับ เพราะไม่มีข้อแนะนำหน่อยที่สามารถนำมาใช้กับธุรกิจในทุกสถานการณ์ได้ทันที ทุกอย่างต้องมีการนำมาปรับใช้และการทดลอง
การส่งฟรีถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดแล้ว เพราะลูกค้าส่วนมากไม่ชอบการจ่ายเงินค่าส่งของ (ซึ่งก็มีงานวิจัยหลายที่สนับสนุนเรื่องนี้) นั่นก็หมายความว่าหากคุณสามารถส่งฟรีได้ สินค้าของคุณก็จะดูแตกต่างและโดดเด่นขึ้นมาเหนือคู่แข่งทันทีเลย
สรุปก็คือเราต้องทดสอบว่าจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเข้ามาจากการให้ส่งฟรี เทียบกับต้นทุนที่เราจ่ายเพิ่มไปจากการส่งฟรีนั้น ‘คุ้มค่า’ กับการทำหรือเปล่า
#27 ‘ขอบคุณลูกค้า’ ให้โดดเด่นกว่าเดิม
หลายคนมองว่าการขอบคุณลูกค้าเป็นแค่เรื่องของมารยาทร้านค้าที่ดี แต่จริงๆแล้วในคำว่าขอบคุณนั้นก็ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่นร้านค้าออนไลน์ที่ส่ง ‘ใบขอบคุณลูกค้า’ แถมเข้าไปในพัสดุ ซึ่งใบขอบคุณลูกค้าก็ เป็นหนึ่งโอกาสที่เราสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ หากเราทำใบขอบคุณลูกค้าสวยๆลูกค้าก็มีแนวโน้มที่จะถ่ายสินค้าตัวนี้แสดงบน Social Media ของตัวเอง
นอกเหนือไปกว่านั้น เรายังสามารถใช้ใบขอบคุณลูกค้าเพื่อแสดงโปรโมชั่นอื่นๆ หรือและนำช่องทางการซื้อของอื่นๆที่ลูกค้าสามารถติดต่อได้งานมาคืนด้วย (เช่นหากลูกค้าซื้อของกับคุณผ่านโฆษณา Facebook ในใบขอบคุณลูกค้าคุณก็อาจจะบอกให้ลูกค้าติดต่อคุณผ่าน LINE ได้)
#28 การตามเทรนด์ เกาะกระแส
การตามเทรนด์การเกาะกระแสต่างๆถือว่าเป็นกิจกรรมการตลาดที่ดีครับ โดยรวมแล้วลูกค้าจะตอบสนองได้ดีมากขึ้น ถ้าเราโชคดีคอนแทคเราอาจจะ viral ทำให้เราดังไม่รู้ตัวภายในข้ามคืน
ปัญหาก็คือไม่มีใครสามารถคาดเดาเทรนหรือกระแสในอนาคตได้หรอกครับ ส่วนมากเราก็เลยต้องพยายามดิ้นรนคิดคอนเทนต์เรื่อยๆทุกอาทิตย์หรือว่าทุกเดือน เผื่อช่วงไหนเราโชคดีมีกระแสที่เหมาะกับสินค้าเรา เราก็สามารถเกาะติดได้
ในส่วนตัวผมมองว่าเราควรที่จะมีแผนและกลยุทธ์การตลาดอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แล้วเราก็ควรที่จะแบ่งเวลาส่วนมากมาเพื่อทำตามแผนกลยุทธ์การตลาดเหล่านี้ แต่หากอาทิตย์ไหนเรามีเวลาว่าง ในช่วงไหนเราเกิดคิดไอเดียเกาะกระแสดีๆได้ ในส่วนนี้เราก็ควรแบ่งเวลามาทำคอนเทนต์เพื่อเกาะกระแสบ้าง
พูดง่ายๆคือ การเกาะกระแสเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเราไม่ได้มีกลยุทธ์การตลาดอื่นมารับรองอยู่แล้ว ธุรกิจของเราก็จะไม่สามารถโตได้เร็วเท่าที่ควร
#29 การทำให้ลูกค้ามาซื้อซ้ำ
จริงๆในบทความนี้ผมได้แนะนำกลยุทธ์หลายอย่างที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้เยอะมากแล้ว แต่ในส่วนที่ผมอยากจะเน้นย้ำความสำคัญของการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำหรือการสร้างลูกค้าประจำ
ลูกค้าประจำโดยรวมแล้วมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ากับเราในปริมาณที่มากกว่าครับ (งานวิจัยบางที่บอกไว้ว่าลูกค้าประจำซื้อเยอะมากกว่าลูกค้าใหม่ถึง 67%) ที่สำคัญก็คือลูกค้ากลุ่มนี้รู้จักเราอยู่แล้ว การโน้มน้าวให้เขากลับมาซื้อของกับเรานั้นถือว่าทำได้ง่ายมากกว่า
โดยเบื้องต้นเลย ให้ลองเก็บข้อมูลหรือว่าในแต่ละเดือนนะมีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำกับคุณกี่คนกันแน่ ธุรกิจหลายที่ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลส่วนนี้ไว้ด้วยซ้ำ ตัวเลขที่คุณอยากจะได้ก็คือรายได้ 50% มาจากลูกค้าใหม่ และรายได้ที่เหลือมาจากลูกค้าเก่า
#30 ทำให้ดีกว่าคู่แข่ง (โดยไม่ต้องลดราคา)
หากเราอยากจะขายได้ดีกว่าคู่แข่ง เราก็ต้องทำได้ดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งในบทความนี้ผมก็ได้แนะนำไปหลายหัวข้อแล้วว่าเราจะทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจในตัวธุรกิจเรามากขึ้น
หลายคนมองว่าการที่เราจะทำได้ดีกว่าคู่แข่งก็คือการให้เราขยันมากกว่า ทำงานดึกกว่า หรือหยุดน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ในความคิดของผม การที่เราจะอยู่เหนือคู่แข่งได้อย่างยั่งยืน ก็คือเรื่องของการสร้างระบบที่สามารถลดต้นทุนให้กับตัวเองได้ เช่นการที่คุณมีสคริปตอบลูกค้า ทำให้คุณตอบลูกค้าได้เร็ว แถมยังทำให้คุณสามารถฝึกพนักงานใหม่ได้ดีมากขึ้น
สุดท้ายนี้ผมอยากให้ทุกคนมองการขายของออนไลน์ว่าเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ทุกกระบวนการสามารถทำให้เร็วได้มากกว่าเดิมและดีมากกว่าเดิม ให้ลองดูว่าคุณจะทำยังไงให้คุณสามารถเอาพนักงานคนไหนขึ้นมาทำงานนี้ก็ได้ หากงานของคุณเรียบง่ายขนาดสามารถจ้างใครขึ้นมาทำก็ได้ แปลว่าธุรกิจของคุณมีระบบที่ดีมากเลย