ในยุคที่สินค้ามีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยเฉพาะสินค้าในห้างที่มีหลากหลายแบรนด์ บ้างก็มีความเหมือนราวกับแกะแต่ราคาประหยัดลง คุณคิดว่าการเพิ่มมูลค่าสินค้าแบบนี้ได้ผลจริงหรือไม่ โดยการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ (Value Added) นั้นเกี่ยวข้องกับ ‘Experience’ มากกว่า ‘Functions’ เสียอีก
ดังนั้นเจ้าของธุรกิจจึงจำเป็นต้องทำรีเสิร์ชว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะเพิ่มมูลค่าได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น การจ้างพรีเซนเตอร์ เชื่อมโยงกับเรื่องไลฟ์สไตล์ เป็นต้น แล้วแบบไหนล่ะถึงจะเหมาะกับคุณ? วันนี้เราจะพามาเรียนรู้สารพัดวิธีในการเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการดังใจหวังโดยมีความน่าสนใจแตกต่างกันออกไป จะเป็นอย่างไรมาติดตามกันต่อเลย
7 เทคนิคลับในการการเพิ่มมูลค่าสินค้า แต่ยังเข้าตาลูกค้าอยู่!
สำหรับเทคนิคในการเพิ่มมูลค่าสินค้าที่เราหยิบมาฝากกันครั้งนี้มีหลากหลายแนวทาง ซึ่งคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับแบรนด์ได้ตามความเหมาะสม ขอบอกเลยว่านี่เป็น ‘secret sauce’ ของบริษัทระดับโลกเลยทีเดียว จะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหนมารับชมกันเลย
1. สร้างเรื่องเล่าให้เข้าตา (Brand Story)
มาเริ่มกันที่วิธีการแรก แบรนด์ระดับโลกทั้งหลายที่มีราคาแพงหรือระดับไฮเอนด์ต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเองที่สร้างความน่าสนใจอย่างมากให้กับลูกค้า เพราะวิธีนี้จะสร้างความรู้สึกร่วมกับแบรนด์ แถมตัวสินค้าหรือบริการของเราจะดูโดดเด่นขึ้นมาทันตา ไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถจดจำได้อย่างง่ายดายหลังจากทราบสตอรี่จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เทคนิคนี้จะได้รับความนิยมอย่างยิ่ง
ยกตัวอย่างราชาแห่ง Storytelling หรือการเล่าเรื่องอย่าง ‘Starbucks’ ที่มีการเล่าถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ นับตั้งแต่ปี 1983 ที่เป็นเพียงร้านกาแฟเล็ก ๆ ในซีแอตเทิล แต่หลักจากผู้ก่อตั้ง ‘Schultz’ ได้ไปเยือนอิตาลีก็ได้รับสัมผัสสุดโรแมนติกในร้านกาแฟสไตล์อินตาเลียนจึงหยิบมาใช้ในธุรกิจจนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้
สำหรับใครที่ต้องการสร้างสตอรี่ให้กับแบรนด์หรือสินค้าตัวใดตัวหนึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงมี 3 ประการ คือ ความต้องการของลูกค้า เรื่องราวของคุณควรตอบโจทย์พวกเขาโดยต้องสามารถเข้าใจได้ง่ายไม่ Abstract เกินไป ข้อสองคือความรู้สึกที่จะกระตุ้นให้เกิดความสนใจและสุดท้ายคือข้อมูลสนับสนุน
2. การเปลี่ยนจุดขาย vs. เพิ่มจุดขาย
สำหรับเทคนิคข้อต่อมาคือการพิจารณาเปลี่ยนจุดขายหรือเพิ่มจุดขาย ว่าแบบใดที่เหมาะกับสินค้าของคุณ สำหรับใครที่กลัวการเปลี่ยนที่แล้วลูกค้าหาไม่เจอ ขอแนะนำวิธีที่สองเพราะจะช่วยให้ลูกค้าเดิมมองเห็นสินค้าและกลับมาซื้อซ้ำได้และเพิ่มการมองเห็นของกลุ่มลูกค้าใหม่
ส่วนใครที่วางในจุดเดิม ๆ แล้วยอดขายไม่ได้แบบที่ตั้งเป้าอาจจะเปลี่ยนจุดขายเพราะที่วางสินค้าเหล่านั้นอาจทำให้สินค้าของเรามีมูลค่าสูง แต่เมื่อนำไปวางไว้ที่ ๆ มีราคาสูงกว่าหรือใกล้เคียงจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากกว่า พร้อมทั้งดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อีกด้วย
3. พลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ให้พิเศษขึ้น
สำหรับเทคนิคการการเพิ่มมูลค่าสินค้าข้อนี้เป็นวิธีที่มักได้ผลเกินคาดเพราะสร้างเอกลักษณ์และเตะตาลูกค้าอย่างมาก แพคเกจจิ้งแบบเดิม ๆ อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอีกต่อไป หากมีการปรับให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าและยุคสมัย มีคุณภาพและสวยงามและช่วยเพิ่มเม็ดเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
4. เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์
สำหรับการ Add Value ในข้อนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับการสร้างสตอรีอย่างมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคโดยการหยิบไลฟ์สไตล์เฉพาะอย่างหนึ่งขึ้นมาผนวกกับจุดเด่นของสินค้าเรา หากจะต้องยกตัวอย่างการเพิ่มมูลค่าสินค้าเทคโนโลยีก็คงจะเป็นกล้องโกโปร (Gopro) ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีการโปรโมตสำหรับการใช้ในระหว่างกิจกรรมเอ็กซ์สตรีมทั้งทางน้ำและทางบก ภาพจำของสินค้าตัวนี้จึงทำให้ผู้ที่ถือโกโปรดูมีความเท่เล่นกีฬาผาดโผน วิธีการนี้จึงไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด
5. การพัฒนาสินค้า
สำหรับการพัฒนาหรือปรับปรุงสินค้าให้ดียิ่งขึ้นถือเป็นเหตุผลที่ดีในการควักเงินของลูกค้า ทั้งนี้อาจจะต้องใช้เงินทุนในการวิจัยหน่อย แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงมากก็คุ้มค่าไม่น้อยเพราะการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ออกมาในตลาดแล้วมีจุดเด่นที่ดีกว่าเดิม ไม่เหมือนใคร จะช่วยให้ผู้บริโภคสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
6. การสร้างความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์
มาต่อกันที่วิธีการเพิ่มมูลค่าสินค้าที่หลายคนอาจจะคิดไม่ถึง นั่นก็คือ การเพิ่มความหลากหลายให้แก่สินค้าของคุณ โดยการสร้างสรรค์ใหม่นี้ต้องไม่ซ้ำและล้าหลังแบบเดิม ๆ ที่ใคร ๆ ก็ใช้กันในท้องตลาด
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันชัด ๆ อย่างรสชาติของมันฝรั่งทอดกรอบที่มีความหลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะรสลาบ เห็ดทรัฟเฟิลหรือเมนูอาหารจานแปลกต่าง ๆ ก็มีให้เห็นอยู่ตลอด หรือคุณอาจจะเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอสินค้า เช่น ถ้วยร้อนก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูป ควรเพิ่มตัวเลือกให้เยอะขึ้น เช่น รสน้ำตก ต้มยำ เย็นตาโฟ หรือก๋วยเตี๋ยวเรือพริกนรกเผ็ด x10 เป็นต้น
7. สร้าง ‘Experience’ ที่ดีให้แก่ลูกค้า
เราได้ยินกันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าประสบการณ์เป็นสิ่งที่ลูกค้ายอมจ่ายแบบชิล ๆ ดังนั้นคุณสามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์การใช้บริการ ก่อนใช้และหลังใช้ให้ดีขึ้นได้ เช่น เว็บไซต์ที่มีความ User-friendly สั่งง่ายจ่ายง่ายไม่ต้องรอนาน มีมาตรฐานการันตีผลิตภัณฑ์ของแท้อย่าง Konvy เป็นต้น