เมื่อพูดถึงเรื่องของการทำธุรกิจก็ต้องขอบอกว่ารูปแบบในการขายสินค้าหรือบริการย่อมมีการปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย อย่างยุค 2G ก็เน้นการจัดอีเว้นท์ (Event) การขายของที่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ก็ต้องบุกถึงบ้านเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับสินค้าหรือบริการโดยตรง แต่สำหรับยุค 4G นี้ทุกคนคงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การขายของให้เด่น ให้ดัง หรือปังได้นั้นต้องงัดเอากลยุทธ์ทุกอย่างมาใช้กับการขายของออนไลน์กันหมด
นั่นก็เพราะชีวิตของผู้คนยุคออนไลน์เป็นใหญ่ คิดอยากจะสร้างรายได้ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย แต่ปัญหาที่คุณรู้และผมก็รู้ในเวลานี้คือคู่แข่งธุรกิจบนโลกออนไลน์นั่นมีมากจนนับไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงว่าเราจะขายของออนไลน์แข่งกับเขาอย่างไรดี แค่คิดเริ่มจะขายก็ทำยากแล้ว…แต่หลังจากนี้เมื่อคุณได้อ่านบทความเรื่องนี้ คุณจะสามารถเริ่มต้นขายของออนไลน์และพัฒนาไปเป็นรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณได้
ก่อนขายของออนไลน์ เราต้องเริ่มด้วยการเตรียมสามอย่าง
เตรียมของที่จะขาย
เพราะถ้าคุณมีความคิดที่จะขายของ คุณก็ต้องเริ่มจากการหาของมาขายซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ยากที่สุดของการขายของออนไลน์ เพราะหากเลือกขายของผิดชีวิตอาจจะเปลี่ยนได้ ก็คุณไม่อยากที่จะต้องการเริ่มต้นใหม่ตลอดไปใช่ไหมล่ะ ดังนั้นผมจึงได้เอาเทคนิคในการเลือกของที่จะขายออนไลน์มาแนะนำกัน คุณจะได้สามารถพัฒนาร้านค้าของคุณให้ขายของออนไลน์ได้ในระยะยาว ดังนี้
- เลือกสินค้าที่คุณชอบมาขาย ซึ่งอาจเลือกจากสิ่งที่เป็นงานอดิเรกของตัวเองหรือสิ่งของที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สินค้านั้นอย่างเชี่ยวชาญ คุณจะได้สามารถเล่าถึงคุณสมบัติ ประโยชน์ หรือข้อดีของสินค้าของคุณที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
- ขายสินค้าที่ทำกำไรได้ หมายถึงคุณต้องเลือกขายสินค้าที่นำมาขายแล้วเพิ่มรายได้ให้คุณได้ เช่น สินค้าที่มีคนใช้เยอะ หรือขนส่งได้ง่าย ใช้เวลาไม่มาก อย่างที่ฮิตๆ กัน เช่นพวกเครื่องสำอาง ชา กาแฟ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เป็นต้น
- ขายสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด ด้วยการติดตามข่าวสาร หรือสังเกตความเคลื่อนไหวบนโลกโซเชี่ยลว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับเรื่องใดหรือสินค้าใด เราก็นำสิ่งที่กำลังเป็นความสนใจมาเสนอขายก็จะมีโอกาสขายของออนไลน์ได้ง่ายขึ้น
- เลือกขายสินค้าที่ไม่มีการแข่งขันกันมากจนเกินไป เพราะหากคุณเลือกขายของที่ใครๆ เขาก็ขายกัน โดยเฉพาะคุณเป็นมือใหม่หัดขาย การขายของที่มีอยู่เกลื่อนในท้องตลาดยิ่งทำให้คุณขายของได้ยากเข้าไปใหญ่
เตรียมกลุ่มลูกค้าที่อยากจะซื้อ
เพื่อให้เป้าหมายหลักของคุณคือการขายของออนไลน์ให้ได้ คุณจะต้องรู้จักวิธีการเลือกโปรโมทสินค้าของคุณให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือภาษาที่เข้าใจง่ายๆ คือต้องเลือกขายของให้ถูกคน เพื่อลดระยะเวลาและงบประมาณที่ต้องใช้ในการสร้างรายได้ของคุณ เทคนิคที่สำคัญในการเลือกกลุ่มลูกค้าที่อยากจะซื้อของมีดังนี้
- ดูที่ภาพรวมของกลุ่มลูกค้า คือการมองในภาพรวมๆ ว่าใครบ้างที่สามารถซื้อสินค้าของเราได้ เช่น หากขายเป็นสินค้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิงวัยทำงาน ถ้าเราโฟกัสเจาะกลุ่มลูกค้าแค่กลุ่มผู้หญิงเฉพาะวัยทำงานเท่านั้นก็จะเป็นการจำกัดการขายของของเรามากเกินไป แต่ถ้าหากเรามองให้กว้างอีกนิดว่ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ชายก็สามารถซื้อสินค้าของเราเพื่อนำไปเป็นของฝากสำหรับคนรักก็ได้เหมือนกันจะทำให้เราขยายการขายได้มากขึ้น
- แบ่งกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน เช่น เพศ อายุ อาชีพ รายได้ หรือ ไลฟ์สไตล์ เพราะทุกอย่างเมื่อรวมๆ กันคือปัจจัยที่ช่วยทำให้เราสามารถเลือกโปรโมทสินค้าของเราให้ตรงกลุ่มมากขึ้น เช่น เพศหญิง อายุ 25 – 50 ปี อาชีพแม่บ้าน พนักงานบริษัทเอกชนหรือภาครัฐ มีรายได้ระหว่าง 10,000 – 20,000 บาท เป็นต้น แต่ข้อควรระวังของการเลือกกลุ่มเป้าหมายคือควรเลือกเป็นกลุ่มที่คิดว่ามีการแข่งขันกันไม่สูง เช่น บางกลุ่มคิดว่าขายได้มากแต่กำลังซื้อน้อย หรือบางกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงแต่ซื้อในปริมาณน้อยๆ เหล่านี้ก็ส่งผลถึงยอดขายได้เหมือนกัน
- เรื่องของแบรนด์โพซิชั่น (Brand Position) ถือว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยในการขายอยู่มาก ดังนั้นจึงต้องวางแบรนด์โพซิชั่น (Brand Position) ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายด้วย คือ
สินค้า > ลูกค้า: คือการเลือกขายสินค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ราคา > ค่าใช้จ่าย: คือการตั้งราคาขายสินค้าให้ลูกค้าสามารถจับจ่ายได้
สถานที่ > ช่องทาง: คือการวางช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสม เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือออนไลน์
โปรโมชั่น > การสื่อสาร: ต้องเลือกช่องทางการสื่อสารให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย
ในส่วนนี้ผมแนะนำให้ศึกษาเครื่องมือการตลาดสองอันนะครับ การตลาดแบบ 4P เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และ การตลาด STP เพื่อหากลุ่มลูกค้า
เตรียมช่องทางที่กลุ่มลูกค้าอยู่
สิ่งสำคัญที่สุดของการขายของออนไลน์คือต้องขายสินค้าในช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายใช้ ซึ่งในปัจจุบันช่องทางการขายของออนไลน์มีหลายแพล็ตฟอร์มมาก ไม่ว่าจะเป็น เฟสบุ๊คส์ (Facebook) ทวิตเตอร์ (Twitter) ไลน์ (Line) รวมถึงพวกมาร์เก็ตเพลส (Market Place) อย่างลาซาด้า (Lazada) หรือชอปปี้ (Shopee) ด้วย ซึ่งจากสถิติพบว่า 3 ช่องทางหลักๆ ที่ผู้คนใช้ในการเลือกซื้อสินค้าคือ
- 40% on Social Media: คือการแชทซื้อขายระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อโดยตรง
- 35% on Market Place: คือการเลือกซื้อของในระบบอีคอมเมิร์ช (e-commerce)
- 25% on E-Retailer: คือซื้อของบนเว๊บไซต์ขายสินค้าของร้านค้าเช่น Lotus หรือ Big C
ดังนั้นเมื่อเราทราบแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือคนกลุ่มใด ก็ต้องเลือกโปรโมทสินค้าของเราให้ถูกช่องทาง เช่น สินค้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิงวัยทำงานก็ต้องเลือกช่วงเวลาที่จะแชทเข้าไปพูดคุยด้วยช่วยพักเที่ยงหรือหลังเลิกงาน เพื่อจะได้มีโอกาสเชิญชวนให้ซื้อสินค้าของเราได้มากขึ้น แล้วเพิ่มเติมการลงขายใน Lazada หรือ Shopee เผื่อว่าพ่อบ้านหรือกลุ่มเป้าหมายแวดล้อมมีความสนใจที่จะเลือกซื้อของได้เช่นกัน
ข้อแนะนำอื่นๆ ที่จะช่วยให้คุณขายของออนไลน์ได้ดี
การขายของออนไลน์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากจะต้องใช้เทคนิคดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อให้สามารถลดต้นทุนได้เพิ่มขึ้น ผู้ขายควรรู้จักการเลือกซัพพลายเออร์หรือคู่ค้าที่ดีด้วย เช่น การดิวกับซัพพลายเออร์ที่เป็นร้านค้าส่งเอาไว้เพื่อซื้อของที่จะนำมาขายได้ในปริมาณมากแต่ใช้ต้นทุนน้อย หรือการดิวกับซัพพลายเออร์ที่เป็นผู้ผลิตโดยตรง ทำสัญญาการซื้อ-ขายไว้ในระยะยาวก็ยิ่งทำให้ต้นทุนสินค้าหรือต้นทุนการขนส่งลดน้อยลงได้
นอกจากนี้ยังต้องมีการทำกลยุทธ์การขายบนออนไลน์อย่างเหมาะสมด้วย เช่น การให้ส่วนลดกับลูกค้าหรือการโปรโมทร้านค้าบนออนไลน์ในแพล็ตฟอร์มที่ใช้ฟรีได้ จะยิ่งเป็นโอกาสให้การขายของออนไลน์ของคุณทำได้ง่ายและสำเร็จได้รวดเร็วมากขึ้น
สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ทุกคนมองโลกการตลาดออนไลน์และการขายของออนไลน์ว่าเป็นเรื่องของ ‘การทดสอบ’ มากกว่า ‘การทำครั้งแรกแล้วรวยเลย’ หากเราไม่มั่นใจในทักษะหรือประสบการณ์ของตัวเอง เราก็สามารถลองเริ่มแบบเล็กน้อย ในการลงทุนน้อยๆก่อน เพื่อทดสอบตลาด ทดสอบลูกค้า ทดสอบสินค้า และ ทดสอบวิธีการขาย ของเรา หากเราสามารถทดสอบได้ เราก็จะเรียนรู้ได้ และ ธุรกิจของเราก็จะโตได้แบบระยะยาว