ร้านขายของออนไลน์ส่วนมากล้มเหลวเพราะว่าไม่สามารถหาสินค้าที่ดีมาขายได้ แต่เคล็ดลับที่หลายๆคนไม่รู้ก็คือ การเลือกสินค้าก็ต้องขึ้นอยู่กับช่องทางการขาย และการเลือกช่องทางการขายก็ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดในการขายของเรา บทความนี้อาจจะยาวนิดหน่อยแต่รับรองว่าจะตอบทุกคำถามของคุณเกี่ยวกับการเลือกขายอะไรดีออนไลน์
ผมรับรองว่าในบทความนี้จะไม่ได้มีการสรุปอะไรสิ้นคิด แบบขายอะไรก็ได้ที่คุณชอบหรือขายของอะไรที่รวยเร็ว (ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญนะ แต่แค่บอกว่าคำแนะนำเหล่านี้เหมือนเป็นการพูดแบบขอไปที นำไปใช้สร้างเงินจริงยาก)
ขายอะไรดีออนไลน์ – คู่มือเริ่มต้น
เพื่อที่เราจะตอบคำถามว่า ‘ขายอะไรดีออนไลน์’ อีก 2 คำถามที่ผมอยากจะให้ทุกคนตอบก่อนก็คือเรื่องของการรู้จักข้อจำกัดของตัวเองและการดูช่องทางการขายของตัวเองในโลกออนไลน์ ซึ่งผมก็แนะนำให้คุณอ่านให้ครบทุกอย่างก่อน แต่ถ้าคุณรีบมากคิดว่าขายด้วยเงินเท่าไหร่ก็ได้ ใช้เวลาเท่าไหร่ก็ได้ หรือจะขายช่องทางไหนก็ได้ กดตรงนี้เพื่อข้ามไปส่วนการเลือกของมาขายออนไลน์ ได้เลย
หาข้อจำกัดทางการขายของออนไลน์
คนส่วนมากอยากเริ่มขายของออนไลน์เป็นอาชีพเสริม (เช่น ไม่อยากลงทุนมากหรือว่ายังไม่อยากลาออกจากงานประจำก็ตาม) ในส่วนนี้การทำความเข้าใจข้อจำกัดของตัวคุณก็จะทำให้คุณเลือกสินค้าและช่องทางการขายง่ายมากขึ้น
มีเวลาจำกัด – สำหรับคนที่มีงานประจำทำหรือมีภาระส่วนตัวต้องทำวันเสาร์อาทิตย์ คุณก็ควรจะหาช่องทางการขายของออนไลน์ที่เป็นการทำครั้งหนึ่งแล้วอยู่ได้นาน เช่น การโพสขายบน Shopee Lazada หรือการสร้างเว็บไซต์ โดยรวมแล้ว ผมแนะนำให้หาเวลาว่างอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงมาทำกิจกรรมต่างๆเช่นหาสินค้ามาขายหรือโพสต์รูป
มีงบจำกัด – ส่วนนี้จะแปลได้ 2 อย่างก็คือคุณไม่สามารถสต๊อกของได้เยอะหรือไม่สามารถเลือกช่องทางให้ต้องใช้เงินช่วยให้ขายได้ดี (ตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือการยิงโฆษณา Facebook หรือ การจ้างเน็ตไอดอลช่วยรีวิว) การสต๊อกของช่วงแรกอาจจะเป็นการซื้อมาเก็บไว้ไม่กี่ชิ้น ยิ่งคุณสามารถหาของใกล้ตัวมาขายได้ก็ยิ่งดี (ลูกค้าจะได้ไม่ต้องรอ) ส่วนเรื่องของการซื้อโฆษณา ผมบอกเลยว่าโฆษณา Facebook ใช้เงินประมาณหลักหมื่นบาทโดยเฉลี่ย
หากคุณมีข้อจำกัดด้านเวลาและงบประมาณ คุณก็สามารถขายของออนไลน์ได้แต่คุณอาจจะไม่สามารถคาดหวังให้รายได้เข้ามาเยอะๆได้ในช่วงแรก ในส่วนนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่าของบางอย่างต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับตัว
อย่างที่บอกครับข้อจำกัดเหล่านี้จะทำให้คุณรู้ว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งในส่วนต่อไปผมจะมาอธิบายอีกทีว่าเราต้องเลือกช่องทางไหนสำหรับแต่ละช่องทางของเรา
การเลือกช่องทางการขายในโลกออนไลน์
ถึงแม้ว่าในหัวข้อส่วนนี้จะไม่ได้บอกว่าขายอะไรดี แต่ผมยืนยันว่ามันเกี่ยวข้องกับการเลือกของจะมาขายแน่นอนและผมแนะนำให้คุณอ่านให้จบก่อน ซึ่งหากคุณอ่านจบแล้วคุณก็จะร้องอ๋อทันที
Shopee/Lazada – เป็นช่องที่มีคนเข้าเยอะอยู่แล้วทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาทำการตลาดเพิ่ม หน้าที่ของคุณมีแค่การแต่งรูป การโพสรูป และการใส่รายละเอียดข้อมูลต่างๆให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาตอบลูกค้า แต่สามารถหาของมาขายที่โดดเด่นได้ (เช่น สินค้าหายาก สินค้าแบรนด์ตัวเอง)
Facebook Marketplace – เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีกลุ่มลูกค้าเยอะอยู่แล้ว แถมมีคู่แข่งค่อนข้างน้อย)หากเทียบกับตัวเลือกแบบ Shopee-Lazada แต่ข้อเสียหลักก็คือหากเราโพสสินค้าไปแล้วตัวโพสจะอยู่ได้ไม่นาน ทำให้เราต้องโพสใหม่เรื่อยๆทุกวัน เหมาะอย่างมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นขายของและมีเวลาในการโพส สินค้าบน Marketplace ส่วนมากจะขายดีที่ช่วงราคาต่ำกว่า 300 บาท
Facebook Page/Instagram + ไม่โฆษณา – เหมาะสำหรับคนที่ขายของหายากที่ลูกค้าต้องมาค้นหากันเยอะๆ โดยส่วนนี้คุณสามารถทำให้คนเข้าถึงหน้าเพจคุณได้เยอะขึ้นผ่านการทำ Facebook SEO (ปรับชื่อเเละคำอธิบายร้านให้มีชื่อสินค้าคนจะได้ค้นหาเจอ) และหากคุณไม่ได้อายหน้ากล้อง การไลฟ์สดและแชร์เข้าไปในกลุ่มต่างๆก็ทำให้คุณสามารถเข้าถึงคนได้ง่าย
Facebook Page/Instagram + โฆษณา – เหมาะสำหรับคนที่มีเงินเยอะหน่อย เพราะค่าซื้อโฆษณาก็แพงไม่ใช่ย่อย ในความคิดเห็นของผมการซื้อโฆษณาเหมาะสำหรับการขายสินค้าที่ดึงดูดใจลูกค้า (เห็นแล้วต้องซื้อเลย) และก็ควรเป็นของที่มีราคาหลัก 3-400 ขึ้นไปอย่างต่ำถึงจะคุ้มค่าโฆษณา
จริงๆช่องทางขายของออนไลน์ก็ยังมีอีกมาก แต่ในเบื้องต้นผมขอแนะนำตัวเลือกแค่นี้ก่อน ในส่วนถัดไปเรามาดูเนื้อหาหลักของบทความซึ่งก็คือการหาของมาขายนั่นเอง
เลือกของอะไรมาขายดีออนไลน์
ในส่วนนี้ทำได้หลายอย่างครับ พื้นฐานหลักก็คือเราต้องเลือกสินค้าให้เหมาะกับข้อจำกัดของเราและให้เหมาะกับช่องทางการขายของเราด้วย
ส่วนมากแล้วข้อจำกัดของเราก็จะเป็นตัวบอกว่าเราควรจะขายที่ช่องทางแบบไหน (เช่น มีเงินไม่พอซื้อโฆษณา หรือมีเวลาไม่มากพอที่จะมาโพสต์บน marketplace ทุกวัน) และตัวช่องทางก็จะบอกเราอีกทีว่าสินค้าแบบไหนที่ขายได้ (มีคู่แข่งน้อย อยู่ในช่วงราคาที่เราพอใจ หรือเหมาะกับกลุ่มลูกค้าในแต่ละช่องทาง)
อาหารและเครื่องดื่ม – ผมหมายถึงอาหารที่ส่งไปรษณีย์ได้อย่างขนม กราโนล่า หรือน้ำผลไม้ ในสมัยนี้เริ่มมีคนขายอาหารและเครื่องดื่มออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อาหารส่วนมากหากไม่ใช่แบรนด์ตัวเองก็จะขายราคาแพงหรือกำไรมากไม่ได้ เทรนด์ตอนนี้มีอยู่สองอย่างคือของที่อร่อยและอาหารคลีนเพื่อสุขภาพ
อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพ – ตลาดอาหารเสริมจะว่าคู่แข่งเยอะก็ใช่ แต่เจ้าใหม่ๆก็ทำเงินได้เรื่อยๆเสมิอ ในความเป็นจริงอาหารเสริมที่ดีจริงๆและแบรนด์ติดตลาดได้นานมีไม่เยอะ หากอยากขายของเหล่านี้คุณต้องลองศึกษาข้อดีข้อเสียแต่ละอย่างจริงๆและเปรียบเทียบกับสินค้าคู่แข่งให้มากๆ
สินค้าแม่และเด็ก – เป็นหนึ่งสินค้าที่ขายได้ดีเสมอ เพราะคุณแม่ใหม่และเด็กเกิดใหม่มีเรื่อยๆทุกปี สินค้ามีอยู่สองประเภทเช่นเดียวกันก็คือขายของถูกวัดกันที่ราคาและขายของคุณภาพดีราคาแพงแต่ต้องรู้วิธีพูดอธิบายให้คุณแม่คนอื่นเข้าใจว่าสำคัญอย่างไร
สินค้าสัตว์เลี้ยง – อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน โดยเราสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อีก เช่น สุนัขตัวเล็ก สุนัขตัวใหญ่ แมว หรือสัตว์เลี้ยงที่แก่แล้ว สินค้าสัตว์เลี้ยงส่วนมากมีราคาแพงกำไรเยอะ แต่หากเราไม่ได้ชอบสัตว์หรือไม่ได้เลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว เราก็จะไม่เข้าใจปัญหาของเจ้าของเหล่านี้ โดยรวมแล้วช่องทางยังมีอยู่เยอะมาก
เครื่องใช้ในบ้าน – เป็นหนึ่งในสินค้าที่คนให้ความสนใจมากขึ้นเพราะเทรนด์โควิดที่ทำให้คนอยู่บ้านตลอด ส่วนนี้รวมถึงสินค้าพลาสติกต้นทุนน้อยไปจนถึงอุปกรณ์ในครัวต่างๆ จริงๆของใช้ในบ้านที่มีรูปร่างแปลกดูน่าซื้อมีตัวใหม่ออกมาขายเรื่อยๆทุกปี หากคุณมีทักษะในการเลือกของมาขายและขยันในการหาสินค้าใหม่มาขายเรื่อยๆ (เพราะสินค้าล้นตลาดเร็วมาก) ของในหมวดนี้ก็น่าขายมาก
มือถือและอุปกรณ์เสริม – สินค้าเหล่านี้มีลูกค้าอย่างแน่นอน แต่กำไรก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้ว เทรนด์ตอนนี้ก็คือผู้ซื้อส่วนมากจะไปซื้อจากร้านค้าออนไลน์เจ้าใหญ่เยอะมากขึ้นเพราะคนอยากได้ความน่าเชื่อถือและคุณภาพ หากคุณไม่ได้หาของที่เฉพาะทางจริงๆโอกาสที่จะขายได้ก็มีน้อย เหมาะสำหรับคนที่รักในสินค้าแนวนี้และชอบรีวิวจริงๆ
อุปกรณ์ไอทีอื่นๆ – อุปกรณ์ไอทีมีหลายอย่างนอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ ลำโพง และหูฟังครับ แก็ดเจ็ตต่างอย่างอุปกรณ์เสริมในการเล่นเกม กระดานวาดรูป หรือแม้แต่กล้องวงจรปิด ก็เป็นสิ่งที่ขายดีเรื่อยๆตามยุคสมัย หากคุณอยากจะขายสินค้าเหล่านี้ คุณก็ต้องให้คำแนะนำลูกค้าให้ได้ เรียกว่าขายไม่กี่อย่างแต่รู้จริงรู้ลึกจนลูกค้าต้องซื้อ
สินค้าบ้านและสวน – สินค้าบ้านและสวนก็เป็นของที่ทำกำไรได้เยอะเช่นกัน เพราะของส่วนมากมีราคาหลักพัน หมวดนี้ผมสินค้าที่น่าขายมากในสายตาผมเพราะมีคู่แข่งน้อย ซึ่งส่วนมากก็เพราะการหาของมาขายทำได้ยากกว่า (ซัพพลายเออร์หายากนั่นเอง) หลายครั้งที่ผมอยากหาของมาใช้แต่ผมหาไม่ได้จนต้องไปเดินโฮมโปรหรือไทวัสดุ
สินค้าด้านกีฬาและออกกำลังกาย – เทรนด์เรื่องการออกกำลังกายมีเรื่อยๆ ของต่างๆอย่างอุปกรณ์การวิ่งหรือเครื่องมือออกกำลังกายที่บ้านก็ยังขายได้อยู่เสมอ เราควรเลือกของที่ยังไม่ล้นตลาดมาก และหากเราสามารถให้คำปรึกษาเรื่องท่าหรือวิธีออกกำลังกายได้ด้วยก็จะดีขึ้นไปอีก
สินค้าแฟชั่น – หมากถึงพวกเสื้อผ้าต่างๆ แต่หมวดนี้ก็รวมถึง รองเท้า นาฬิกา แว่นตา กระเป๋า และสินค้าผู้หญิงด้วยครับ สินค้าแฟชั่นเป็นสิ่งที่หากคุณสามารถจับเทรนด์หรือเลือกของเป็น ต่อให้คู่แข่งเยอะคุณก็ยังขายได้อยู่ดี หลายคนบอกว่าสินค้าแฟชั่นเป็นหมวด ‘สินค้าปราบเซียน’ แต่ในความคิดผมหากคุณคิดว่าคุณมีทักษะการเลือกของอยู่บ้าง จะลองลงทุนสักหลักพันบาทมาลองขายก่อนก็ได้
สินค้าราคาแพง – ชนิดสินค้าที่ยังขายได้ดีอยู่ได้แก่สินค้าพรีเมี่ยมและสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพงๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า นาฬิกา หรือแม้แต่ลำโพงแบบแพง แน่นอนคุณอาจจะไม่ได้ขายดีทุกวัน และลูกค้าหลายคนก็อาจจะทักเข้ามาสอบถามแต่ไม่ซื้อ แต่โดยรวมแล้วหากคุณขายของชิ้นได้ราคาหลักหลายพันหรือหลักหมื่น คุณก็จะได้กำไรเยอะมาก เหมาะมากเวลาที่คุณมีความชอบอะไรเป็นพิเศษจริงๆ ต่อให้คุณมีทุนน้อยคุณก็สามารถรับทำพรีออเดอร์ได้ด้วย
เราสามารถนำหมวดหมู่สินค้าเหล่านี้ไปปรับกับช่องทางและข้อจำกัดของเราได้
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือเรื่องของ ‘เซ้นส์ทางด้านการขาย’ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการเลือกสินค้า เทคนิคการตกแต่งรูป เทคนิคการตกแต่งร้านค้า สังเกตง่ายๆก็คือพวกร้านค้าขายสินค้าแฟชั่นหรือสินค้าแม่และเด็ก ที่บางร้านขายดีมากทั้งที่ขายสินค้าเดียวกันกับร้านอื่น นั่นก็เพราะว่าร้านเหล่านี้แต่งรูปและเขียนแคปชั่น (และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ซื้อ) ได้ดีกว่านั่นเอง
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงหัวข้อนี้ ผมก็แนะนำให้คุณเลือกมาสัก 2-3 หมวดหมู่สินค้าที่คุณคิดว่าน่าจะขายได้และเหมาะกับตัวคุณ (ช่องทางและข้อจำกัด) แต่หากคุณยังไม่สามารถหาสินค้าเฉพาะทางที่เหมาะกับตัวคุณได้ ให้ลองพิจารณาเกณฑ์การเลือกสินค้าขายออนไลน์ในส่วนต่อไปดู
สรุปเกี่ยวกับการหาของมาขายออนไลน์
ในส่วนนี้จะเป็นการแนะนำปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวกับเลือกของมาขายออนไลน์ หากคุณสามารถเลือกของเหล่านี้ได้โอกาสในการขายก็จะมีมากขึ้น
คนอื่นสามารถหามาขายได้ยาก – ปัจจัยนี้หมายความว่าคุณจะมีคู่แข่งน้อย ผู้ผลิตสินค้าบางคนไม่สามารถขายสินค้านั้นได้เก่ง (ไม่เก่งเรื่องการขายและการตลาด) หากเราหาผู้ผลิตเหล่านี้เจอ เราก็สามารถนำสินค้าเหล่านี้มาขายได้ในราคาแพงและทำกำไรได้เยอะ
มีความโดดเด่นเห็นแล้วต้องหยุดดู – สินค้าเกือบทุกอย่างย่อมมีคู่แข่งหรือสินค้าแพง หากคุณเป็นเจ้าแรกๆที่เริ่มขายในช่องทางนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือเรื่องของ ‘การนำเสนอ’ พูดง่ายๆก็คือเรื่องของการแต่งภาพ การทำวีดีโอ การเขียนโพสขาย ที่หากคุณทำได้ดูดีเท่าคู่แข่ง ให้ดูแตกต่างได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ให้ลองดูปัจจัยเรื่องโทนสี การแต่งรูป และภาษาข้อความที่เราใช้ให้ดี
เปรียบเทียบราคาได้ยาก – ในส่วนนี้เป็นเรื่องของเทคนิคการขายมากกว่า คุณอาจจะหาของราคา 5-10 บาทมาแถมควบคู่กับสินค้า (ซื้อคอมพิวเตอร์ แถมกระเป๋า หูฟัง คียบอร์ด และ เม้าส์) เป้าหมายของการแถมของก็คือการทำให้ลูกค้าไม่สามารถคาดเดามูลค่ารวมของสินค้าได้ แปลว่าลูกค้าจะไม่สามารถบอกได้ว่าสินค้าคุณมีราคาถูกหรือแพง…รู้อย่างเดียวว่าซื้อแล้วได้เยอะ ที่สำคัญก็คือของแถมไม่ต้องมีราคาแพงก็ได้
ไม่ได้ราคาถูกมากเกินไป – ข้อนี้เป็นข้อที่ผมแนะนำให้ทุกคนพิจารณากัน เพราะหากคุณขายของราคาหลัก 100 บาท คุณก็ต้องขายให้ได้จำนวนเยอะมากกว่าจะได้กำไรหลักพัน อย่างน้อยที่สุดผมแนะนำว่าราคาควรจะอยู่ประมาณ 300 บาทขึ้นไปสำหรับช่องทางฟรี และ 500 บาทสำหรับช่องทางที่ต้องเสียค่าโฆษณา แล้วถ้าคุณสนใจของราคาถูกจริงๆ ผมก็แนะนำให้นำมาปรับการนำเสนอใหม่ให้ลูกแพงขึ้น หรือนำมาใช้เป็นของแถมให้กับสินค้าอื่นแทน น่าจะคุ้มกว่า
คำแนะนำสุดท้ายเกี่ยวกับการหาของมาขายออนไลน์
หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังไม่ได้สินค้าที่อยากจะขายอีก ผมก็แนะนำให้ค้นหาแต่ละช่องทางที่คุณคิดว่าคุณน่าจะอยากขายที่นั่น แล้วก็ดูว่าสินค้าหมวดหมู่ไหนที่คุณอยากจะขายบ้าง (เช่นเสื้อผ้า ของสุนัข ของไอที) เพื่อดูว่ามีคู่แข่งเยอะแค่ไหน และให้ทำขั้นตอนดังต่อไปนี้
#1 ค้นหาใน Google Trends ว่าสินค้าแต่ละอย่างมีคนค้นเยอะแค่ไหน – สินค้าตัวไหนที่คนค้นหาน้อย (และมีราคาไม่แพงมาก) ก็ให้พักไว้ก่อน
#2 หาช่องทางที่มีค่าใช้จ่ายน้อยในการเริ่มต้น – ให้นำสินค้าหลายๆอย่างไปลองโพสใน Facebook Marketplace Shopee Lazada ดูให้หมด ในส่วนนี้เป็นเรื่องของจำนวน ให้โพสต์ไปเยอะๆแล้วคุณก็จะรู้เองว่าสินค้าแนวไหนที่ลูกค้าตอบสนองได้ดี หากเรามัวแต่เลือกแล้วไม่ได้ไปลองทดสอบตลาดเราก็จะไม่สามารถเริ่มต้นอะไรได้ (ข้อดีก็คือช่องทางเหล่านี้ฟรี)
ในส่วนนี้ถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำว่าคุณไม่จำเป็นต้องสต๊อกของเลยด้วยซ้ำตอนทดสอบ หากลูกค้าทักเข้ามาแล้วคุณไม่มีสต๊อก คุณก็อาจจะไปซื้อมาจากร้านอื่นมาขายต่อก่อน (ได้กำไรไม่เยอะแต่ได้ทดสอบ) หรือไม่ก็บอกลูกค้าไปว่าสินค้าหมดชั่วคราวก่อนก็ได้
#3 สินค้าไหนขายดีก็ให้นำสินค้าอื่นๆที่เกี่ยวข้องมาขายด้วย – หากคุณเห็นว่าสินค้าเด็กที่คุณโพสไปขายดี ก็ให้นำสินค้าเด็กมาขายเพิ่ม และถ้าเป็นหมวดของเล่นเด็กวัยแรกเกิด คุณก็สามารถเน้นหาสินค้าเหล่านั้นขึ้นมาเพิ่มได้ การขายของออนไลน์แปลว่าคุณต้องหาสินค้ามาขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณขายของแค่ไม่กี่อย่างคุณก็อาจจะโดนคู่แข่งแย่งตลาดได้
#4 สินค้าไหนขายดีให้อัดงบการตลาดเพิ่ม – หากสินค้าไหนคุณมองว่าขายดีแล้ว ผมแนะนำให้คุณเริ่มสต๊อกสินค้าเพิ่มเราจะได้ลดต้นทุน พอคุณมีกำไรคืนมาก็อย่าเพิ่งเอาไปซื้อของให้ตัวเอง ให้นำงบเหล่านี้มาเปิดเพจ Facebook หรือสร้างเว็บไซต์เพื่อยิงโฆษณา หรือสำหรับคนที่ไม่ชอบการทำโฆษณาก็ลองพิจารณาโปรโมทผ่าน Page หรือ Influencer ช่องเล็กๆดู (ผู้ติดตาม 10,000-100,000 คนกำลังดี) ให้เลือกกลุ่มที่เหมาะกับลูกค้าคุณด้วย
ขั้นตอนการเลือกสินค้ามาขายออนไลน์ในเบื้องต้นมีแค่นี้ ผมอยากจะเน้นย้ำว่าหลายๆขั้นตอนนั้นขึ้นอยู่กับข้อจำกัดด้านเวลาและเงินลงทุนของคุณ และ หลายๆขั้นตอนนั้นต้องอาศัยการทดสอบเยอะๆเพื่อหาจุดที่ใช่ ในส่วนนี้ขอให้ทุกคนสนุกกับการทดสอบขายของออนไลน์ดูนะครับ หากทำเป็นแล้วรับรองว่ารวยอย่างแน่นอน