หลังจากที่ผมพยายามสร้างธุรกิจออนไลน์ เป็นเวลา 5 เดือน ในที่สุดผมก็สามารถ … ‘จ่ายค่ามือถือรายเดือน’ ให้ตัวเองได้
บทความวันนี้จะเป็นบทความพิเศษหน่อยครับเนื่องจากว่าบล็อกของผมมีอายุครบ 5 เดือน และมีบทความครบ 100 บทความแล้ว (คิดเป็นจำนวนมากกว่า 200,000 คำ)
เนื่องจากว่าเป้าหมายของบล็อกของผมคือการให้ความรู้ เพื่อที่เจ้าของธุรกิจหรือคนที่ทำงานจะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ บทความนี้ผมจะขอเน้นเรื่องวิธีการทำและสิ่งที่ผมเรียนรู้เกี่ยวกับการทำบล็อก มากกว่าเหตุผลส่วนตัวและความสนใจของตัวผมเอง
Traffic และจำนวนคนเข้าเว็บไซต์
ผมเริ่มเขียนบล็อกวันที่ 28 เดือนกรกฎาคม 2562…ขอตีไปว่าเริ่มเดือนสิงหาคมละกันเพื่อความง่ายในการนับเลข หลักจากนั้นผมก็เขียนบทความลงเรื่อยๆมาตลอดจนครบบทความที่ 99 ตอนปลายเดือนธันวาคม2562 ตัวเลขมีดังนี้ครับ
เดือน | จำนวนบทความ | จำนวนคำ | Pageview (จำนวนการเปิดดูหน้า) |
8 | 43 | 80,519 | 418 |
9 | 9 | 21,369 | 434 |
10 | 10 | 22,415 | 1,644 (+278.80%) |
11 | 7 | 16,728 | 3,715 (+125.97%) |
12 | 27 | 55,956 | 9,849 (+165.11%) |
ช่วงเดือน 8 จะเห็นได้ว่าจำนวนบทความเยอะเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ต้องแปลกใจอะไรไป ผมเป็นชอบเขียนอะไรเก็บไว้อ่านภายหลังอยู่แล้ว พอเห็นว่าตัวเองมีบล็อกก็เลยนำบทความเก่าๆของตัวเองมาลงให้หมด บวกกับเดือนนั้นเหมือนจะมีวันหยุดยาวเยอะด้วย ช่วงวันหยุดยาวทั้งวันแม่ วันปีใหม่ ผมก็ไม่ค่อยได้ไปไหน อยู่บ้านเขียนบทความอย่างเดียว (ถ้าไม่ใช่วันหยุดผมก็มีเวลาเขียนแค่วันละ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน)
…แต่อย่าคิดว่าผมเขียนเยอะเลยทำให้คนเข้าเยอะภายหลังนะครับ บทความแรกๆของผมไม่ค่อยดีเท่าไร ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยได้รับการจัดอันดับใน Google เลย (เป็นแหล่ง traffic หลักของเว็บนี้) คิดว่าน่าจะเลือกหัวข้อบทความไม่ดี เลือกหัวข้อที่คนหาไม่เยอะ บทความที่คนเข้าเยอะจริงๆ ส่วนมากจะเขียนตอนเดือนกันยา เดือนตุลา
Pageview คือจำนวนหน้าที่คนเข้าเว็บไซต์อ่านในแต่ละเดือน เรียกง่ายๆว่าคือตัววัดว่าคนเข้าเว็บแล้วอ่านบทความเยอะแค่ไหน เราจะเห็นได้ว่าเดือน สิงหาคม-กันยา คนเข้าเว็บน้อยมาก ส่วนมากน่าจะมาจากตัวผมเองมากกว่า ผมเข้าไปดูเพื่อออกแบบเว็บไซต์ จัดเรียงหน้าทุกวัน ผมไม่ค่อยเก่งภาษาไทยเท่าไร บางทีก็สะกดคำผิด ก็เลยต้องกลับไปอ่านบทความเก่าๆเพื่อเช็คอีกรอบ (บทความไหนคนไม่ค่อยอ่านก็อาจจะไม่ได้กลับไปแก้)
คนเข้าเว็บไซต์ของผมเพิ่มมากขึ้นทุกเดือน ตอนเดือนตุลามีคนเข้าเว็บเฉลี่ยต่อวันแค่ 20-40 คนเอง แต่ตอนเดือนธันวามีคนเข้ามากสุดถึง 450 คนต่อวัน (เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 300 กว่าคน) น่าเสียดายที่เดือนธันวาวันหยุดเยอะ โดยเฉพาะตอนปลายปีคนแทบไม่เข้าเว็บเลย ไม่อย่างนั้นตัวเลขคงสวยงามกว่านี้
ผมคิดว่าหนึ่งบทความควรมีอย่างน้อย 30 Pageview ต่อวันหรือตกประมาณ 1,000 Pageview ต่อเดือน ไม่อย่างนั้นก็ ‘ไม่คุ้มที่จะเขียนเท่าไร’ ในอนาคตผมก็คงต้องระวังเรื่องการคิดหัวข้อบทความให้มากกว่านี้ เขียนสิ่งที่ตัวเองชอบมันเขียนง่าย แต่เขียนสิ่งที่ผู้อ่านชอบสำคัญกว่า
วิธีเขียนบทความให้คนหาเจอ
ส่วนแรกที่คนถามเลยก็คือเขียนบล็อกยังไงให้คนเข้าเยอะๆ คำตอบสำหรับบล็อกผมก็คือการทำ SEO ให้คนเข้าแบบ organic (เป็นภาษาการตลาด ภาษาคนทั่วไปก็คือการหาคนเข้าเว็บแบบไม่เสียตัง) ผ่านทาง Google
ซึ่งการจะทำ SEO ให้ดี ก็ต้องใช้ความรู้ทางด้านเทคนิคเยอะ แต่เนื่องจากว่าบล็อกนี้ผมเขียนขึ้นมาเล่นๆตามภาษาคนไม่ค่อยมีเวลา ผมเลยเน้นที่การจัดเรียงเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ที่คนเรียกกันว่า on-page SEO มากกว่า … ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับเนื้อหาบทความของผมที่ไม่ได้มีการแข่งขันสูงมาก (เนื้อหาบทความที่มีการแข่งขันสูงส่วนมากจะเป็นบทความเรื่องการเงินส่วนบุคคล ประกัน เรื่องสุขภาพเป็นต้น)
Evergreen Content หมายถึงบทความที่สามารถอยู่ได้ 3 ปี 5 ปีหรือ 10 ปี เป็นความรู้ที่ไม่ได้สูญเสียคุณค่าไปตามกาลเวลา และเป็นชนิดของบทความที่เหมาะกับการเขียนบล็อกที่มีคนเข้าผ่านทาง Google Content แบบนี้เป็นคำถามที่คนถามพิมพ์ลง Google อยู่แล้วแต่ไม่ค่อยมีใครเขียนบทความดีๆตอบโจทย์ ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณเขียนบล็อกเรื่องที่คนไม่ค่อยหาพิมพ์ลง Google กัน เช่นข้อมูลที่คนคิดไม่ถึง ข้อมูลข่าว เนื้อหา blog เช่นนี้อาจจะเหมาะกับสื่ออย่าง Facebook กับ Twitter มากกว่า
หากคิดภาพไม่ออกก็ลองเปรียบเทียบบทความเรื่อง ‘โลกเรามีอายุเท่าไร” กับ ‘ภาพยนตร์ที่น่าดูเดือนธันวาคม 2562’ บทความแรกจะมีคนค้นหาทุกปี แต่บทความชนิดที่ 2 จะเป็นบทความที่คนสนใจแค่เฉพาะบางช่วงของปีเท่านั้น ส่วนนี้ไม่มีผิดมีถูกขึ้นอยู่กับโมเดลของบล็อกเท่านั้น
สิ่งที่ผมพบก็คือ ยิ่งเราเขียนบทความยาวคนก็ยิ่งอ่านเยอะ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนเชื่อกันเลยว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย…ถ้าเราเขียนในสิ่งที่คนอยากอ่านคนสนใจ ยังไงคนก็จะอ่านอยู่ดี ทริกสำคัญก็คือการจัดย่อหน้าให้เหมาะกับผู้อ่านบนมือถือ และสร้างหัวข้อใหญ่หัวข้อย่อยให้คนสามารถสแกนผ่านได้ง่ายๆ คนที่เข้ามาในบล็อกเราต้องการหาคำตอบ (หรือแก้ปัญหา) สิ่งที่เราต้องทำก็คือตอบให้ตรงคำถามให้ชัดเจนที่สุด…และเขียนอธิบายเพิ่มสำหรับคนที่สนใจอยากจะศึกษา
สิ่งที่บล็อกนี้ยังขาด
บล็อกที่มีอายุ 5 เดือนและมีบทความแค่ 100 บทความ ก็ถือว่าเป็น ‘บล็อกขนาดเล็ก’ ครับ แต่ถ้าถามว่าบล็อคนี้ยังขาดอะไรบ้าง สิ่งแรกที่ขาดก็คือ ‘ทิศทาง’
ในช่วงแรกของบล็อกผมได้เขียนบทความไปหลายอย่าง ทั้งการตลาด การขาย การเงิน การบัญชี และเรื่องทำธุรกิจอีกหลายอย่างเลย ในส่วนนี้สิ่งที่ผมกำลังรออยู่ก็คือ ‘ผลลัพธ์’ ว่าผู้อ่านแต่ละคนชอบบทความไหนและสนใจที่จะอ่านบทความแบบไหน (ดูได้จากอันดับใน Google และเวลาที่คนใช้ในการอ่านแต่ละบทความ) บทความแนวไหนที่คนชอบผมก็จะพยายามเขียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ช่องทางการตลาด ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บล็อคผมยังขาดอยู่ วิธีทำธุรกิจที่ดีก็คือเราไม่ควร ‘เอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน’ เพราะถ้าทำตะกร้าตกไข่จะแตกหมด หมายความว่า ถ้าทุกวันนี้ 90% ของคนที่เข้าเว็บไซต์ผมมาจาก Google ถ้าวันไหน Google เกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเว็บผมก็จะเงียบไปทันที เพราะฉะนั้นผมต้องเพิ่มช่องทางที่คนสามารถเข้าเว็บผมได้ อาจจะผ่านอีเมลหรือ YouTube เป็นต้น
จำนวนบทความก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่บล็อกใหม่ๆจะมีคนเข้ามาอ่าน ‘บทความหลัก’ มากถึง 70-80%…หมายความว่าถ้าคนเข้าเว็บไซต์ผมวันละ 100 คนส่วนมากก็คงเข้ามาเพื่ออ่านแค่ ‘บทความทีเด็ด’ ของเว็บนี้แค่บทความเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าบทความนี้ถูกคนแย่งอันดับใน Google ไป เว็ปผมก็จะเงียบไปทันทีเช่นกัน ในส่วนนี้แก้ได้ด้วยการเพิ่มบทความไปเรื่อยๆเพื่อลดความเสี่ยง ผมคิดว่าถ้าแต่ละบทความมีคนอ่านไม่เกิน 15-20% ของคนเข้าเว็บไซต์ ก็ถือว่าผมได้กระจายความเสี่ยงอย่างดีแล้ว
เขียน Blog ทำเงินได้ไหม
ตอนนี้ผมมีช่องทางการทำเงินผ่านบล็อกแค่ส่วนโฆษณาเท่านั้น ผมเริ่มติด Google Adsense ประมาณเดือนตุลา แต่กว่าคนจะเข้าเว็บเยอะและเริ่มเห็นเงินเป็นก้อนจริงๆก็เดือนธันวา..ที่มีคนเข้าเว็บวันละหลายร้อยคนทุกวัน เดือนธันวาผมได้ค่าโฆษณามา 14.13USD หรือตกประมาณ 423 บาท เรียกว่าเกือบจ่ายค่ามือถือให้ตัวเองได้ 555
โฆษณาบน blog ตอนนี้ให้เงินเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 USD ต่อ 1,000 Pageview (ภาษาบล็อกเกอร์เรียกว่า 1.6 USD RPM) หมายความว่าถ้ามีคนดูเว็บผม 1,000 คน ผมก็จะได้เงินโฆษณาเฉลี่ยอยู่ที่ 45-50 บาท ตัวเลขนี้ ‘เหวี่ยง’ มาก คิดว่าต้องคอยติดตามอีกทีว่าถ้าคนเข้าเว็บมากขึ้น ค่า RPM ละลดลงหรือเปล่า (ผมเดาว่าน่าจะลดเยอะอยู่…แต่ถ้าขึ้นผมก็ไม่ว่ากัน 555) ถ้าผมใส่โฆษณาเยอะกว่านี้ ผมก็อาจจะได้ค่า RPM ที่ดีกว่าได้แต่ตอนนี้เงินไม่ใช่หัวใจของบล็อก สิ่งที่สำคัญตอนแรกคือ traffic
ถ้าถามว่าตัวเลขนี้ดีหรือยัง คำตอบก็ตรงไปตรงมาครับว่า ‘ยังไม่คุ้ม’ ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้าผมเขียนบทความ 100,000 คำ (ตีว่า 100,000 แรกสร้าง traffic ให้เว็บไซต์ ส่วนอีก 100,000 เป็นบทความใหม่ ยังไม่ถูกจัดอันดับใน Google) ผมสู้ไป ‘รับจ้างเขียนบทความ’ ยังจะได้เงินต่อจำนวนคำมากกว่ามาเขียนบล็อกอย่างนี้เลย
คำถามต่อมาก็คือ มูลค่าของแต่ละบทความคือเท่าไรกันแน่ (Content Lifetime Value) ถ้าผมรับจ้างเขียนบทความ 1000 คำในราคา 500 บาท กับถ้าผมเขียนบทความเองกินค่าโฆษณาบทความละ 30 บาททุกเดือน เป็นเวลา 5 ปี ผมก็อาจจะกำไรได้ โดยที่จุดคุ้มทุนอยู่แค่ประมาณ 2 ปี (เผื่อเวลาบทความจัดอันดับไปครึ่งปีแรก)
ถ้าคุณเป็นพนักงานเงินเดือนคุณก็คิดเงินเดือนตัวเองหารรายชั่วโมงเอา ดูว่าคุ้มหรือเปล่าที่คุณจะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงเพื่อเขียนบทความ 1000 คำในราคา 500 บาทต่อหนึ่งงาน … หรือประมาณพันกว่าบาทในเวลา 3 ปีต่อหนึ่งบทความจากค่าโฆษณา (ถ้าบทความคุณโชคดีได้จัดอันดับสูง) และนี่คือตัวเลขเฉลี่ยเท่านั้นนะครับ ผมเป็นคนบ้าพลังเขียนบทความละเกือบ 2000 คำ
แต่ยิ่งเราเขียนเยอะ เราก็จะยิ่งเก่งขึ้น ผมอาจจะเริ่มที่การใช้เวลา 3 ชั่วโมงสำหรับการเขียน 1 บทความ และ 1 บทความอาจจะมีโอกาสติดอันดับใน Google แค่ 20-30% แต่ยิ่งผมเขียนเยอะผมก็ยิ่งมีประสบการณ์ บทความหลังๆของผมถึงแม้จะมีคำเยอะกว่า ผมก็สามารถเขียนได้ในเวลาสั้นลง แถมแต่ละบทความมีโอกาสติดอันดับ Google เยอะขึ้นด้วย
ซึ่งคำถามสุดท้ายก็คือ เราสามารถสร้างเงินได้มากกว่านี้หรือเปล่านะ คำตอบก็อยู่ที่ว่าผมสามารถหาบริษัทโฆษณาที่สามารถให้เงินได้มากกว่า Google หรือเปล่า (ที่อเมริกามีเยอะแต่ที่ไทยผมก็ยังไม่แน่ใจ) และผมสามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้อ่านผมผ่านทาง eBook หรือคอร์สต่างๆได้หรือเปล่า…ส่วนนี้ก็ต้องมาดูกันอีกที
แผนของบล็อกในอนาคต
แผนของบล็อกนี้ก็คือการเขียนบทความเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่ก็หาช่องทางในการเติบโตอื่นๆโดยไม่ต้องพึ่ง Google มากขนาดนั้น สิ่งที่ผมวางแผนไว้สำหรับปีนี้ก็คือ
- Email List – การเก็บอีเมลคนที่สนใจอ่านบล็อกผมจริงๆ เพราะอีเมลเป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์สามารถควบคุมได้มากที่สุด ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังว่า Google หรือ Facebook จะเปลี่ยนแค่ไหน
- YouTube – เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ผมตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ จริงๆก็อัดวีดีโอไว้หลายวีดีโอแล้วแต่ไม่กล้าลงสักทีเพราะทำแล้วไม่ถูกใจตัวเอง แต่ปีนี้ตั้งเป้าว่าจะต้องเริ่มให้ได้ ไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหนก็ตาม
Email List จะเป็นตัวบอกว่าผู้อ่านชอบอ่านบทความแนวไหน ทำให้ผมรู้ว่าทิศทางที่ blog ของผมก็จะไปต่อคือทางไหน ซึ่งก็จะทำให้ผมเข้าใกล้เป้าหมายคนเข้าบล็อก 100,000 คนต่อเดือนได้เร็วขึ้น
ทุกวันนี้ผมได้ค่าโฆษณาจากคนเข้าเว็บของผม ผ่านทาง Google AdSense อยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวแรกที่มากมายอะไร แต่ก็สร้างรายได้มากพอที่จะเท่าทุนค่า hosting กับจดชื่อเว็บไซต์ แต่ถ้าตัวเลขคนเข้าบล็อกของผมมากขึ้นเป็นหลักหลายหมื่นถึงหลักแสน ผมก็น่าจะหาบริษัทลงโฆษณาที่ให้เงินดีกว่า Google ได้ อันนี้ก็ต้องรอดูต่อไป
Facebook เป็นส่วนที่เพื่อนผมแนะนำให้ผมเร่งทำให้เร็วที่สุด แต่เนื่องจากว่าผมไม่ค่อยมีเวลาและคิดว่า content ของผมอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับ Facebook เท่าไร ตอนนี้ผมก็เลยปล่อยให้กลายเป็นเรื่องรองไปก่อน
บล็อกนี้ผมเขียนขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะให้ความรู้เรื่องการทำธุรกิจให้กับผู้อ่านทุกคน เพราะฉะนั้นมาเขียนรีวิวเรื่องการเขียนบล็อกก็คงไม่ตรงกับประเด็นหัวข้อของเว็บไซต์นี้เท่าไร อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าบทความนี้เป็นบทความที่ 100 แถมยังเป็นบทความแรกของปี 2020 ผมก็จะขอ ‘ทำตามใจตัวเอง’ เขียนเรื่องที่ตัวเองชอบเก็บไว้ให้ตัวเองดูในอนาคตสัก 1 บทความ
ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อจะเก็บไว้เปรียบเทียบกับ ‘ผลประกอบการ’ ในอนาคต ในส่วนตัวแล้วผมวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกตัวเองเก็บไว้ได้เรื่อยๆทุกเดือนอยู่แล้ว แต่นานๆครั้งถึงจะเขียนสรุปเป็นตัวหนังสือให้คนอื่นอ่านอีกที ถ้าบทความนี้มีคนอ่านเยอะมีคนชอบเยอะ ผมก็จะมาเขียนสรุปเพิ่มให้เรื่อยๆนะครับ