ในเว็บไซต์นี้ผมได้พูดถึงข้อดีของการทำการตลาดที่เรียกว่า Content Marketing หรือว่าการสร้าง Content ให้ความรู้คนไปเยอะแล้วนะครับ มีผลตอบแทนสูง ต้นทุนต่ำ ดึงดูดลูกค้าได้นาน ฟังดูดีใช่ไหมครับ?
อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกหนึ่งมุมมองที่สำคัญมากๆที่ผมอยากจะให้หลายๆคนรับรู้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งเริ่มขายของออนไลน์ เริ่มทำธุรกิจ หรือเริ่มทำการตลาดใหม่ๆ เพราะสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ตัดสินได้ว่าธุรกิจของคุณเหมาะสำหรับการทำ Content Marketing หรือเปล่า
4 ข้อเสียของการทำ Content Marketing
สิ่งที่ผมต้องพูดก่อนที่เราจะไปดูเนื้อหานะครับก็คือ บทความนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อบอกว่าเราไม่ควรสร้าง Content หรือไม่ควรทำ Content Marketing นะครับ เพียงแต่ว่าก่อนที่เราจะเริ่มลงมือเนี่ย เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามีข้อดีข้อเสียยังไง เราต้อง ‘ปรับความคาดหวัง’ ของเราให้ตรงกับสิ่งที่เป็นความจริง
แน่นอนครับในตอนท้ายบทความ ผมจะมีข้อแนะนำอีกทีว่าด้วยว่ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดหรือว่าที่ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุดเนี่ยคืออะไรกันแน่
#1 Content Marketing วิธีทำการตลาดที่ช้ามากๆ
ปัญหานี้เป็นปัญหาหนักใจของธุรกิจ SME ครับ คือธุรกิจขนาดเล็กส่วนมากนะต้องการรายได้และก็เงินหมุน คือเราต้องมีเงินหมุนเข้ามาเรื่อยๆครับ บางทีกำไรน้อยไม่เป็นไร ตราบใดที่ยังมีลูกค้าเข้ามาซื้อของ เราก็สามารถเอาเงินไปหมุนทำเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ได้
ถ้ามีเงินธุรกิจก็ยังไปต่อได้…แต่ Content Marketing จริงๆใช้เวลาให้เกิดผลหลายเดือนเลยครับ
ยกเว้นว่าเราจะเลือกช่องทางให้ถูกจริงๆ อย่างการเลือกทำ Social Media เจ้าที่กำลังดังๆ (แบบ TikTok ในสมัยนี้)
การทำ Content Marketing ผ่านทางช่องทางที่มีคนเล่นเยอะอยู่แล้วอย่าง Facebook หรือว่าอย่างการเขียนบทความลง Google หรือการทําช่องยูทูป ทั้งหมดใช้เวลาในการเข้าถึงคนนานมาก ตัวเลขที่ผมเจออยู่บ่อยๆก็คือ 5-6 เดือนนะครับกว่าจะเห็นผลลัพธ์ครั้งแรก
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับ เพราะใช้สำหรับธุรกิจขนาดเล็กหลายๆที่ ผมมองว่าธุรกิจเหล่านี้เป็นธุรกิจที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ผ่านการซื้อใจลูกค้า ซึ่ง Content Marketing เป็นวิธีการซื้อใจลูกค้าได้ด้วยต้นทุนที่ถูกมากๆ เราเน้นการให้ข้อมูล เน้นการให้บริการที่ดีขึ้น หากเจ้าของไม่มีเงินจ้างคนมาช่วยทำ Content เจ้าของอาจจะใช้เวลาว่างก่อนนอน 1 ชั่วโมงเพื่อเขียนบทความแต่งรูปทำวีดีโออะไรก็ได้ ส่วนนี้ถ้าเรามีความสนใจในธุรกิจ เรามี passion เราก็ยังสามารถทำได้อยู่
#2 Content ส่วนมากทำเงินไม่ได้
ในหัวข้อนี้ผมอยากจะให้ทุกคนเข้าใจ Content 2 รูปแบบนะครับ
1) Content ที่ทำเพื่อการขาย กับ 2) Content ที่เราทำเพื่อให้ความรู้หรือซื้อใจลูกค้า
สำหรับ Content ขาย หากเราทำดีๆถ้ามีคนเห็น 10 คนเราก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนจะซื้อแบบ 3 คน 5 คนอะไรแบบนี้ใช่ไหมครับ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การปิดลูกค้าประมาณ 30% ถึง 50% (การขาย คือการโพสโปรโมชั่น บอกตอนนี้เราขายสินค้าอะไร ราคาเท่าไหร่)
แต่ในการทำ Content Marketing จริงๆที่เป็น Content ให้ความรู้ เช่นกินผักดีต่อสุขภาพยังไง ออกกำลังกายท่าไหนดี เราต้องอ่านหนังสือยังไงเราถึงจะได้คะแนนดีอะไรพวกนี้นะครับ เราจะเห็นได้ว่าเราอาจจะปิดลูกค้าได้แค่ 5% 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ในส่วนนี้เราจะเรียกได้ว่าเป็นประสิทธิภาพของการปิดลูกค้าก็ได้
แน่นอนครับเพราะเราได้ยินอย่างนี้คนส่วนมากก็จะบอกว่างั้นทำไมเราไม่ทำ Content ขาย 100% ไปเลย เราก็ต้องกลับมานะแต่เรื่องเดิมๆอีกแล้วครับว่าในโลกธุรกิจเนี่ยเราต้องมีสมดุลนะครับต้องมี Balance ระหว่างกิจกรรมการตลาดหลายๆอย่าง ขายอย่างเดียว ลูกค้าก็จะเบื่อแล้วก็จะไม่ติดตามต่อ แต่ถ้าไม่ขายบ้างยอดขายเราก็จะตก
#3 Content วัดผลได้ยากมาก
เป็นหัวข้อที่หลายๆบริษัทไม่ชอบเอามากๆเลย คือถึงแม้ว่า Content จะทำเงินให้กับเราได้ช้าใช่ไหมครับ แต่ถ้า Content ทำเงินได้และวัดผลได้จริง…หลายๆบริษัทก็คงยอมที่จะจ่ายเงินให้นะครับ
แน่นอนหากเราไม่มีเงินเลย แบบเราต้องการรายได้ภายในวันนี้วันพรุ่งนี้เลย คนส่วนมากก็คงไม่หันมาใช้ Content Marketing เพราะส่วนนี้ได้เงินไม่ทันใจเจ้าของอยู่แล้ว
แต่ค่าใช้จ่ายส่วนมากวัดผลยากมากครับ… พูดง่ายๆเลยนะครับ คุณจะวัดผลได้ยังไงว่าคุณจ้างคนมาแต่งภาพหนึ่งภาพ ตัดต่อวีดีโอเท่านี้ หรือเขียนบทความ 30 บทความ จะรู้ได้อย่างไรว่ากิจกรรมแบบนี้ ‘คุ้มทุน’ หรือเปล่า
สำหรับธุรกิจส่วนมาก ‘วัดไม่ได้‘
เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ จะมีแค่ธุรกิจเจ้าใหญ่ๆเท่านั้นที่มีแบบระบบออนไลน์หลังบ้านอย่างชัดเจน แบบคนที่สามารถดูได้ว่าวีดีโอเนี่ยมีคนกดลิงค์เข้าไปซื้อของกี่คน บทความนี้มีคนเข้ามาอ่านผ่าน Google กี่คนและมีกี่เปอร์เซ็นต์ที่กลายเป็นลูกค้าจริงๆ
ซึ่งตัวอย่างที่ด้านบนเป็นแค่หนึ่งในตัวอย่างการวัดผล Content Marketing และผมรับประกันเลยครับว่ามีรูปแบบการทำ Content อีกหลายอย่างที่วัดผลได้ยากมาก ยากจนที่หลายธุรกิจไม่อยากจะทำ Content กันเพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะคืนทุนให้กับเราได้ยังไง
#4 เวลา เงิน และ ต้นทุนอื่นๆ
ในโลกนี้ไม่มีอะไรมาฟรีๆ Content ส่วนมากก็ใช้เวลาทำครับ อาจจะเป็นการใช้เวลาเขียนบทความ ใช้เวลาแต่งรูป การตัดต่อวีดีโอ แม้แต่กระทั่งเวลาในการวางแผน เพื่อจะทำให้กิจกรรมทั้งหมดนี้มีประสิทธิภาพ มีผลงานที่ดี
หรือถ้าคุณเป็นธุรกิจที่ใหญ่หน่อย บางทีเราอาจจะไม่มีเวลามานั่งทำทุกอย่างเองแล้ว เราก็ต้องมานั่งคำนวณค่าใช้จ่ายใช่ไหมครับว่าจะไปจ้างคนมาเขียนบทความให้เรา ไปจ้างคนมาตัดต่อวีดีโอให้ ส่วนใหญ่ก็เป็นต้นทุนทั้งหมด ซึ่งพอบวกกับว่าต้นทุนเราวัดผลได้ยาก ใช้เวลานานในการหาลูกค้า คนส่วนมากก็เลยไม่ค่อยอยากจะทำกัน
ผมคิดว่าในส่วนนี้ถ้าเราเป็นมือใหม่ที่กำลังพึ่งเริ่มทำ Content ครั้งแรก เราก็ควรเริ่มจาก Content ที่เรารู้อยู่แล้วว่ามีคนอยากดู Content ที่เรามีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้วไม่ต้องใช้เวลาศึกษาหรือวางแผนมาก ส่วนใหญ่จะทำให้เราประหยัดเวลาในการสร้าง Content ได้เยอะ
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของการเลือกช่องทางการสร้าง Content ให้เหมาะกับคุณ หากคุณชอบเขียนก็ไปทำบทความ ถ้าชอบถ่ายรูปแต่งภาพก็ไปทำ Social Media หลายคนตัดต่อวีดีโอใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง บางคนตัดต่อวีดีโอเป็นวันก็มี เอาเป็นว่าต้นทุนทางด้านทักษะของแต่ละคนไม่เท่ากัน
สรุปเกี่ยวกับการทำ Content Marketing
อย่างที่ผมบอกครับ มีข้อเสียไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพียงแค่ว่าเราต้องเข้าใจและปรับความคาดหวัง
สรุปก็คือ ‘ทำบ้าง ทำอย่างต่อเนื่อง แต่ควรให้เวลากับกิจกรรมอย่างอื่นด้วย’
เพราะบอกตามตรง ทำ Content Marketing อย่างเดียวในตอนแรก คุณจะไม่มีอะไรกิน สู้ไปหาช่องทางการตลาดและการขายที่เป็นช่องทางพระเอกช่องทางหลักของคุณก่อน อาจจะเป็นการทำโฆษณา การจ้างพนักงานขายเก่งๆ ทีนี้พอเราได้เงินกลับมาบ้างเรามีเวลาเหลืออย่างน้อย1 ชั่วโมงต่อวัน หรืองบการตลาดซัก 10-20% เราก็เอามาลงทุนกับการสร้าง Content ด้วยก็ได้
การวางแผนแบบนี้จะทำให้เรามีเงินและมีกำลังใจในการทำธุรกิจต่อครับ ในขณะเดียวกันเราก็มีการวางแผนไว้เพื่ออนาคตและว่าถ้าในยุคต่อไปค่าโฆษณาแพงขึ้นอีกอย่างน้อยเราก็จะมี Content มีการซื้อใจลูกค้าเผื่อไว้แล้ว เวลาปรับตัวในอนาคตจะทำได้ง่ายขึ้น