เป็นที่รู้กันอยู่ว่าสินค้าขายดีหรือไม่ดีบน Facebook ขึ้นอยู่กับปัจจัยเบื้องต้นสองอย่าง: กลุ่มเป้าหมาย และ การออกแบบโฆษณา ซึ่งถึงแม้ว่าการเลือกกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกระบวนการระยะยาวที่เราต้องทดสอบเยอะ แต่การออกแบบโฆษณานั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่า
บทความนี้ผมอยากจะมาแนะนำตัวอย่างการทําโฆษณา Facebook ว่าเราสามารถทำโฆษณาแบบไหน แล้วในตอนท้ายของวีดีโอเนี่ยผมก็จะแนะนำเพิ่มเติมนะครับว่าวิธีทำให้โฆษณาพวกนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุดคืออะไรบ้าง
5 รูปแบบโฆษณา Facebook (ที่ทำให้เราขายดี)
ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะให้ทุกคนปรับความเข้าใจก่อนนะครับ
การทำโฆษณา Facebook ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าเทคนิคเดียวที่ทำให้คุณขายได้ 100 ล้าน
ภาพรวมที่ผมอยากสื่อสารก็คือเรื่องของ การทดสอบ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องมาปรับอีกทีว่ากลุ่มลูกค้าแบบไหน โฆษณาแบบไหนที่ตอบสนองกับรูปแบบการทำธุรกิจของเรามากที่สุด
เพราะฉะนั้น ตัวอย่างที่ผมจะให้ในบทความนี้ก็คือตัวอย่างที่อยากจะให้ทุกคนนำกลับไปลองทดสอบดูนะครับ ถ้าเราเห็นตัวอย่างการทำโฆษณาหมดแล้ว ผมอยากจะให้ทุกคนอ่านตอนท้ายบทความด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่รู้นะครับว่าเรามีตัวอย่างเราต้องทำอะไรต่อ เราต้องทดสอบยังไง
#1 Long Form Video วิดีโอยาว
วีดีโอยาวหมายถึงวีดีโอที่ทำขึ้นมาเพื่อขายสินค้าในระยะเวลาประมาณ 1 ถึง 3 นาที ซึ่งโครงสร้างที่ง่ายที่สุดก็คือที่จุดปัญหาลูกค้า นำเสนอทางออก แล้วก็นำเสนอข้อมูลสินค้า
ข้อดีก็คือคนส่วนมากชอบดูวีดีโอ โดยรวมแล้วผมคิดว่าเหมาะกับสินค้าที่ต้องอาศัยการอธิบายเยอะ สินค้าที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ หรือสินค้าที่มีราคาแพงในระดับหนึ่ง
แน่นอนว่าข้อเสียหลักก็คือวีดีโอนั้นทำยากครับ แต่หากคุณเป็นมือใหม่ไม่เคยพูดใส่หน้ากล้องหรือว่าไม่เคยตัดต่อวีดีโอมาก่อน ผมแนะนำว่าให้หยิบมือถือขึ้นมา 1 เครื่องแล้วถ่ายวีดีโอตัวเองพูดพร้อมกับแนะนำสินค้าก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
#2 Vertical Short Video วิดีโอสั้นแนวตั้ง
หมายถึงวีดีโอแนวตั้ง ที่มีความยาวประมาณ 30 วินาทีถึง 1 นาที ซึ่งความลับก็คือวีดีโอในวันนี้เป็นวีดีโอที่กำลังฮิตกันอยู่ หลายคนอาจจะสังเกตรูปแบบการทำวีดีโอแบบนี้ได้จาก TikTok หรือว่า Social Media อื่นๆ
เนื่องจากว่าวีดีโอแนวนี้ไม่สามารถใส่ข้อมูลเยอะๆได้ โดยรวมแล้วผมคิดว่าคุณสามารถอธิบายจุดเด่นหรือข้อดีของสินค้าได้แค่ประมาณ 1-3 อย่างเท่านั้น อีกหนึ่งวิธีก็คือการทำวีดีโอสั้นแสดงมุมต่างๆของสินค้าเพื่อให้ลูกค้าเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
แต่จุดสังเกตหลักก็คือวีดีโอแนวนี้เราไม่จำเป็นต้องทำเป็นแนว ‘มืออาชีพ’ มากก็ได้ (ไม่จำเป็นต้องเป็นการถ่ายทำแบบมือโปรหรือว่าตัดต่อแบบหรูหรา) เพราะเหมือนพฤติกรรมผู้บริโภคจะชอบวิดีโอ ‘แนวโฮมเมด’ มากกว่า
#3 Multiple Photo Post หนึ่งโพสต์ หลายภาพ
หมายถึงการทำโพสต์โฆษณา Facebook ที่มีภาพหลายภาพอยู่ในโพสต์เดียว ซึ่งรูปแบบการทำโฆษณาแบบนี้อยู่คู่กับ Facebook มานานแล้ว แต่ก็ยังได้ผลดีอยู่
อยากได้เลยเนื่องจากว่าเป็นโพสต์ที่มีหลายรูปภาพ ลูกค้าโดยปกติก็จะนิยมคลิกเข้ามาดูรายละเอียดภาพมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ต้นทุนต่อคลิ๊ก (Cost Per Click) และ เปอร์เซ็นคนคลิํก (Click-Through Rate) ของคุณดีขึ้น
เป้าหมายของโฆษณาแบบนี้ก็คือการให้ข้อมูลที่มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นการสอนวิธีการใช้สินค้า หรือการแสดงสินค้าในมุมต่างๆเพื่อให้ลูกค้าเห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น
#4 Single Image Scroll Stopper ภาพเดียว หยุดการไถ
Single Image Scroll Stopper หมายถึงการมีภาพโฆษณา 1 ภาพ ซึ่งออกแบบมาเพื่อหยุดการไถ Facebook และ ทำให้ลูกค้าหยุดดูโฆษณาของเรา
คนส่วนมากมักจะนิยมการทำโฆษณาแบบนี้มากที่สุด แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว โฆษณาแบบนี้ทำให้ดียากมากครับ
โดยรวมแล้วโฆษณาแบบนี้มักจะเป็นโฆษณาที่แสดงถึงภาพสินค้า ซึ่งก็เป็นโฆษณาที่เรียบง่ายเป้าหมายของโฆษณานี้ก็คือการทำให้ลูกค้ารับรู้ว่าเรามีสินค้านี้อยู่ เหมาะกับการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่สนใจพร้อมซื้อสินค้าเราอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักก็คือเนื่องจากว่าหากเราไม่ออกแบบโฆษณาภาพเดียวมาดีจริงๆ หลายๆครั้งเราก็จะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ ส่วนมากก็คือเราก็ต้องแต่งภาพให้ดี ทําภาพให้ชัดที่สุด หรือ ทำโพสต์ขายให้ดูมืออาชีพที่สุด
#5 Long Form Text โพสต์ตัวอักษรเยอะๆ
Long-Form Text หมายถึงการทำโฆษณาที่มีแคปชั่นยาวๆหรือว่าใส่ตัวอักษรเยอะๆ เป้าหมายของโฆษณานี้ก็คือการให้ข้อมูลกับลูกค้าให้เยอะที่สุด อาจจะเป็นผ่านการเล่าเรื่อง หรือว่าผ่านการใส่ข้อมูลสินค้าให้ถี่ถ้วน
โฆษณาแบบนี้อาจจะไม่ได้บอกกับผู้บริโภคทุกคน เพราะบางคนก็ไม่ชอบการอ่าน อย่างไรก็ตามผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังมีผลตอบรับดีกับการทำโฆษณาแบบนี้อยู่ ซึ่งเราก็จะเห็นได้บ่อยๆสำหรับโฆษณาสินค้าบางชนิดเช่นการขายคอร์ส หรือ ว่าการขายของหรูๆ
ปกติแล้วผมจะนำรูปแบบโฆษณาแบบนี้ ไปผสมกับโฆษณาตัวอื่น เช่น เป็นภาพ Single Image ที่มี Long-Form Text เป็นต้น
ข้อแนะนำของผมก็คือ ควรจะทดลองใช้โฆษณาแบบนี้บ้าง อย่างไรก็ตามเราก็ต้องนำไปผสมกับการทำโฆษณาแบบอื่นๆด้วย เพื่อที่เราจะการันตีได้ว่าเราจะเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ด้วยโฆษณาที่เขาชอบมากที่สุด
ข้อแนะนำในการทดสอบโฆษณา Facebook
สุดท้ายนี้ผมมีอยู่ 2 อย่างที่อยากจะทิ้งท้ายให้ทุกคน อย่างแรกเลยก็คือ ลูกค้าหลายคนต้องการที่จะเห็นโฆษณาหลายตัวก่อนที่จะซื้อของ มีลูกค้าน้อยมากครับที่จะเห็นโฆษณาแค่ตัวเดียวแล้วตัดสินใจซื้อของเลย ส่วนมากก็ต้องการที่จะเห็นโฆษณาตัวเดิมซ้ำ 2-3 รอบ หรือ เห็นโฆษณาหลายๆตัว
เพราะฉะนั้นอย่างแรกสุด ยกเว้นว่ามันจะเป็นโฆษณาที่คุณออกแบบมาพิเศษจริงๆ ส่วนมากแล้วในกลุ่มเป้าหมายของคุณหรือว่าใน Ad Set ของคุณ ผมอยากจะให้ประกอบไปด้วยโฆษณาที่แตกต่างกัน 2-3 รูปแบบ ลูกค้าจะได้ไม่เบื่อ Facebook เขาจะได้ไปปรับได้เองว่าลูกค้าแบบไหนต้องการโฆษณาแบบไหนกันแน่
อย่างที่ 2 ครับ ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ถ้าเราทำโฆษณาบ่อยๆแล้วเราไม่ได้คิดไว้ในใจเสมอ บางทีเราก็จะพลาดง่ายๆ ซึ่งก็คือเรื่องของการใส่ Call To Action ครับ ในทุกโพสต์และทุกวีดีโอโฆษณาของเราต้องมีการบอกลูกค้าเสมอว่าขั้นตอนต่อไปกับเขาคืออะไรกันแน่
ซึ่งก็เป็นการบอกแบบง่ายๆ เช่นเวลาจบวีดีโอ เราก็บอกลูกค้าหน่อยว่าซื้อเลย หรือ Add LINE ที่นี่ หรือถ้าเป็นรูปภาพ ก็อาจจะเว้นที่ไว้ 1 ส่วนให้คนสามารถติดต่อเราผ่านช่องทางต่างๆได้ (ใส่ข้อมูลติดต่อในภาพ)
เพราะลูกค้าบางคนเขาลืมจริงๆนะครับ บางคนเห็นโฆษณาตัวเดียวแล้วก็อาจจะบอกว่าสนใจ แต่พอดีวันนี้ติดธุระอยู่ เดี๋ยวมาซื้อวันหลังก็แล้วกันแล้วก็ลืมไป ผ่านไปสองสามวัน เปิดมาเจอโฆษณาของเราใหม่รอบ แล้วเห็นโฆษณาคำว่าให้ซื้อเลย ก็ถึงจะจำได้ว่าเราต้องทักเข้าไปโอนเงินนะ
สรุปนะครับ ในโลกการทําโฆษณา Facebook ผมไม่กล้ารับประกันทุกคนหรอกครับ ว่าถ้าเราทำแบบนี้แบบนี้แล้วเราจะรวย 10 ล้าน 100 ล้าน แต่โดยรวมแล้วยิ่งเราทดสอบเยอะๆ เราก็จะเห็นภาพรวมมากขึ้น ให้ทดสอบในภาพรวมกว้างๆที่แตกต่างกัน เช่น แทนที่จะทดสอบภาพ 3 ภาพ เราก็เลือกทดสอบวิดีโอบ้าง ภาพหนึ่งภาพบ้าง วีดีโอสั้นบ้าง หรือโพสต์ที่มีภาพหลายๆภาพรวมกันบ้าง
หากไม่ได้อะไรจากบทความนี้เลยก็เก็บไว้เป็นข้อคิดนิดนึงแล้วกันนะครับว่า หากเราอยากจะเพิ่มยอดขายด้านออนไลน์ โดยเฉพาะเรื่องของการโฆษณา เราไม่สามารถนั่งกินนอนกินกับกลยุทธ์เทคนิคเดิมซ้ำไปซ้ำมาได้
อย่างน้อยที่สุดเลยก็ เผื่องบไว้ทดสอบเรื่องการทำโฆษณาในรูปแบบใหม่ๆสัก 10-20 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ก็ยังดีนะครับ ทำแค่นี้ก็ทำให้เราได้เปรียบเหมือนคนอื่นที่ไม่รู้มากๆแล้วครับ