ในการทำการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Facebook ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุด และให้ผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีกับทุกกลุ่มเป้าหมาย นักการตลาดส่วนใหญ่มักตั้งเป้าไปที่การจะทำยังไงให้สามารถ “เพิ่มยอดขาย” จากการโปรโมทสินค้าบน Facebook ได้
แต่เพราะ Facebook เป็นแพลตฟอร์มประเภท Social Media ที่ก่อนที่คุณจะสามารถเพิ่มยอดขายได้นั้น คุณจำเป็นจะต้องมีปฏิสัมพันธ์และพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จนเกิดการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ (Brand Awareness) เกิดความคุ้นเคย และความไว้วางใจในแบรนด์กันเสียก่อน
การสร้าง Facebook Engagement จึงเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์และวางแผนคอนเทนต์บน Facebook โดยสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ สำคัญอย่างไร และคุณจะสามารถเพิ่ม Facebook Engagement ให้กับแบรนด์ของคุณได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ
Facebook Engagement คืออะไร?
Facebook Engagement คือการกระทำใดๆก็ตามจากผู้รับสาร (Audience) ที่เกิดขึ้นบนเพจ โพสต์ และโฆษณาบนเฟสบุ๊คของแบรนด์คุณ ไม่ว่าจะเป็นการกดปุ่มแสดงอารมณ์ (Reactions), การแสดงความคิดเห็น (Comments), การแชร์คอนเทนต์, หรือแม้แต่การคลิกใดๆ
หากจะอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ เวลาคุณสร้างคอนเทนต์หรือโพสต์ใดๆก็ตามลงบน Facebook นั่นคือสิ่งที่แบรนด์ของคุณต้องการสื่อสารออกไปเพียงฝั่งเดียว แต่เมื่อคุณได้รับยอดไลค์ ยอดแชร์ คอมเมนต์ หรือการกระทำใดๆ นั่นก็คือการสื่อสารตอบรับกลับมาจากผู้รับสารหรือคนอ่าน และสิ่งนี้ก็คือ Facebook Engagement นั่นเองครับ
แม้ในระยะหลังๆ Facebook Engagement จะมีความสำคัญลดลงไป เนื่องจากทาง Facebook ได้ปรับ algorithm ในการแสดงผลบนหน้าฟีดที่อิงกับ Facebook Engagement ลดลง (เพื่อที่จะได้เพิ่มความจำเป็นของแบรนด์ในการยิงโฆษณาได้มากขึ้น) แต่ผมยังยืนยันอยู่เสมอว่า Facebook Engagement ยังเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำคอนเทนต์บน Facebook ในระยะยาว ดังนี้ครับ:
เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของคอนเทนต์: ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์แบบไม่ยิงโฆษณา แต่ยังช่วยให้แบรนด์เติบโต (Organic Contents) และคอนเทนต์แบบยิงโฆษณา (Paid Ads) ยิ่งคุณสามารถทำคอนเทนต์เพื่อสื่อสารในเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ หรือเข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ก็ยิ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายตอบรับกลับมาเป็น Facebook Engagement ได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งในการทำคอนเทนต์เพื่อให้ได้ Facebook Engagement นี้ คุณจะต้องคิดและวางแผนมาเป็นอย่างดี และใช้สื่อประกอบคุณภาพดี ทั้งรูปภาพ วีดีโอ รวมไปถึงข้อความในโพสต์ ทำให้ Facebook Engagement จะเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพการทำคอนเทนต์ของคุณได้ดีเลยล่ะครับ
ยังคงช่วยเพิ่มยอดการมองเห็น (Reach): แม้อย่างที่บอกไปว่า Facebook ได้ทำการปรับลดความสำคัญของ Facebook Engagement กับยอดการมองเห็นโพสต์ (Reach) มาสักระยะใหญ่ๆแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งนี้จะหมดความสำคัญไปเสียทีเดียว
Facebook Engagement ยังช่วยเพิ่มการมองเห็นโพสต์อยู่ และยังช่วยโชว์คอนเทนต์ของคุณต่อไปให้กับเพื่อนๆของคนที่มี Engagement กับโพสต์ของคุณอีกด้วย นั่นเท่ากับว่าคุณอาจได้ยอดคนอ่านใหม่ๆที่มาจากเครือช่ายเพื่อนฝูงของคนที่มี Engagement กับคุณแต่ต้นนั่นเอง
เป็นตัวบ่งชี้ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์: ซึ่งก็คือหน้าที่หลักของตัวเลข Facebook Engagement นั่นเองครับ โดยยิ่งกลุ่มเป้าหมายมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาก ก็หมายความว่าพวกเขามีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับแบรนด์และมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าของคุณได้ในอนาคต
Facebook Engagement มีอะไรบ้าง?
เราสามารถแบ่งประเภทของ Facebook Engagement ได้ดังนี้ครับ:
การกดปุ่มแสดงอารมณ์ (Reactions): เช่นการกดไลค์ กดเลิฟ กดหัวเราะ กดปุ่มว้าว กดปุ่มเศร้า และกดปุ่มโกรธที่คุณก็น่าจะคุ้นเคยกันดี โดยส่วนมากแล้วถ้าหากผู้คนกดปุ่มแสดงอารมณ์ลงบนโพสต์ของคุณ ก็มีแนวโน้มที่ พวกเขาจะกดดูคอมเมนต์และปฏิกิริยาอื่นๆในโพสต์นั้นๆต่อเพื่อติดตามบทสนทนาที่เกิดขึ้น ทำให้มี Engagement เพิ่มขึ้นบนเพจของคุณนั่นเอง
การแสดงความคิดเห็น (Comments): ทั้งการคอมเมนต์และการ reply โต้ตอบกัน ซึ่ง Facebook ให้น้ำหนัก Engagement มากกว่าการกดปุ่มแสดงอารมณ์เพียงอย่างเดียว
การแชร์คอนเทนต์ (Shares): นอกจากจะเป็นการสร้าง Facebook Engagement ที่ผู้อ่านมีต่อเนื้อหาที่คุณโพสต์แล้ว ยังเป็นการการันตีว่าจะช่วยเพิ่มการมองเห็นโพสต์ไปยังกลุ่มเพื่อนของผู้ที่แชร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
การคลิกบนเนื้อหา/ลิงค์ (Clicks): นั่นหมายถึงการคลิกใดๆบนโพสต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกเพื่อดูรูป การคลิกเล่นวีดีโอ การคลิกอ่านโพสต์เพิ่มเติมหรืออ่านความเห็นเพิ่มเติม รวมไปถึงการคลิกที่ลิงค์ต่างๆ
โดยมีมาตรวัดที่เกี่ยวข้องกับการคลิกอีกตัวหนึ่งที่คุณควรรู้จัก นั่นก็คือ Click Through Rate (CTR) หรืออัตราการคลิกดูโพสต์ต่อยอดการมองเห็น ที่ยิ่งหากมีอัตราที่สูง ก็แปลว่าคอนเทนต์นั้นๆน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้นนั่นเองครับ
การบันทึกโพสต์ไว้อ่านอีกภายหลัง (Post Saves): เป็นการแสดงว่าผู้อ่านสนใจในเนื้อหานั้นๆและอยากเก็บเอาไว้อ่านอีกครั้งหนึ่งหรือเอาไว้อ่านในเวลาที่สะดวก โดยไม่ต้องเลื่อนหาบนหน้าไทม์ไลน์ให้ยุ่งยาก
การดูวีดีโอ (Video Plays): โดยยิ่งคนดูใช้เวลากับคลิปวีดีโอนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งแปลว่าเขาสนใจเนื้อหาบนวิดีโอมากขึ้นเท่านั้น และ Facebook จะนับสิ่งนี้ว่าเป็น Engagement ก็ต่อเมื่อคนดูดูวีดีโอนานมากกว่า 3 วินาทีขึ้นไปครับ
การกดติดตามเพจ (Page Likes): อันจะทำให้ผู้อ่านสามารถรับข่าวสารและคอนเทนต์ของเพจนั้นๆได้เพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ เป็นการสร้างการมองเห็นโพสต์ในระยะยาวให้กับคอนเทนต์ของคุณได้เป็นอย่างดี
แล้ว Facebook Engagement เท่าไรถึงจะดี?
คุณสามารถวัดผล Facebook Engagement ได้ด้วยการดู Engagement Rate ที่มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์ ซึ่งวัดจากอัตรา Facebook Engagement ทั้งหมด ต่อจำนวนผู้เห็นโพสต์ทั้งหมดของเดือนนั้นๆ
แต่อันที่จริงแล้ว การสร้าง Facebook Engagement นั้นไม่ได้มีเกณฑ์ตายตัวว่าคุณจะต้องทำยอด Engagement Rate ให้ถึงเท่าไหร่ เพราะผู้อ่านจะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรม หรือแต่ละสินค้า รวมถึงตามแต่ลักษณะความชอบหรือความสนใจของผู้อ่านเองด้วย
วิธีที่สังเกตง่ายๆก็คือ ให้ลองดูเพจใหญ่ๆที่มีผู้ติดตามหลักล้านคนขึ้นไป ในแต่ละโพสของเพจเหล่านี้ก็จะมียอดคนมาไลค์ คอมเมนค์ ติดตาม ไม่เท่ากัน ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถวัดค่าออกมาที่ตัวเลขที่ชัดเจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นโพสในรูปแบบต่างๆ อย่าง รูปภาพ ตัวอักษร และ วิดีโอ ก็มียอดการทำ Engagement ที่ไม่เหมือนกัน
แต่ก็ใช่ว่าคุณจะไม่สามารถวัดผล Facebook Engagement ได้เลยนะครับ ในช่วงเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์บน Facebook คุณอาจจะลองศึกษาค้นคว้าดูก่อนว่าในตลาดธุรกิจที่คุณอยู่นั้น โดยทั่วไปแล้วผู้คนมักมี Engagement Rate อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แล้วนำตัวเลขนี้มาตั้งเป็นเป้าหมายก่อนก็ได้ครับ
พอเวลาผ่านไป คุณอาจจะค่อยๆเก็บข้อมูล Engagement Rate เพื่อมาหาค่าเฉลี่ยสำหรับคอนเทนต์ของคุณเองโดยเฉพาะ จะได้รู้แนวโน้มว่าในการทำคอนเทนต์ของคุณนั้น Engagement Rate มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง และจะได้ปรับปรุงและพัฒนาของคอนเทนต์ของคุณได้ทันครับ
วิธีเพิ่ม Facebook Engagement
#1 โพสต์เนื้อหาที่ตรงใจผู้อ่าน
หลากหลายแบรนด์มักคิดว่าการโพสต์โปรโมตประโยชน์ของสินค้าบ่อยๆจะช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าได้ดีที่สุด แต่วิธีการทำงานของ Social Media อย่าง Facebook กลับแตกต่างไปจากนั้น
คุณจะสามารถสร้างยอดขายได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เข้ามาอ่านคอนเทนต์ จนมีความรู้สึกร่วมไปกับแบรนด์ หรือเกิด Facebook Engagement ขึ้นต่างหาก
และคุณจะสร้างความรู้สึกร่วมที่ลูกค้ามีให้กับแบรนด์ได้ก็ต่อเมื่อคุณเข้าใจถึงความต้องการและปัญหาของลูกค้า แล้วผลิตคอนเทนต์ที่แสดงว่าคุณเข้าใจลูกค้าในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณมากที่สุด ไปจนถึงการเข้าใจความต้องการทั่วๆไปของลูกค้าในชีวิตประจำวัน
ถ้าหากคุณเปิดร้านกาแฟและอยากจะโปรโมตร้านของคุณผ่าน Facebook แทนที่คุณจะพูดถึงแต่เรื่องกาแฟของร้านคุณเองว่าดีแค่ไหนซ้ำๆ ลองหันมามองความต้องการของลูกค้าว่าดื่มกาแฟไปทำไม แล้วสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ว่าเราเข้าใจปัญหาของพวกเขา
เช่นการโพสต์เกี่ยวกับเรื่อง Work-Life Balance หรือความลำบากที่จะปลุกตัวเองขึ้นมาในเช้าวันจันทร์ ก็สามารถทำให้คุณเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่ม Facebook Engagement ให้กับคอนเทนต์ของคุณได้นั่นเองครับ
#2 โพสต์ให้ถูกเวลา
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณมักมีแพตเทิร์นช่วงเวลาที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ Facebook แตกต่างกันไป ทำให้แม้คุณมีคอนเทนต์คุณภาพอยู่ในมือ แต่ก็อาจจะไม่มีใครอยู่อ่านคอนเทนต์ของคุณถ้าหากคุณโพสต์ผิดช่วงเวลา
จึงดีกว่าถ้าคุณลองศึกษาค้นคว้าดูว่าควรจะโพสต์คอนเทนต์ลงบน Facebook ช่วงเวลาไหนถึงจะดีที่สุด และทำการทดลองโพสต์คอนเทนต์ในวันและช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป เพื่อหาช่วงเวลาการโพสต์ที่จะให้ Facebook Engagement ได้ดีที่สุดครับ
#3 โพสต์พร้อมรูปภาพและวีดีโอ
ในการทำคอนเทนต์บน Facebook ถ้าคุณอยากได้ Facebook Engagement เพิ่มขึ้น ก็อย่าลืมโพสต์คอนเทนต์พร้อมรูปภาพหรือวีดีโอที่ผลิตอย่างมีคุณภาพ มีเนื้อหาน่าสนใจ และคิดวางแผนมาแล้วอย่างดี เพราะบน Facebook ผู้คนมักจะมีปฏิกิริยากับสื่อแบบ Visual Content มากกว่าแบบข้อความธรรมดาหรือลิงค์
โดยคุณสามารถโพสต์ Visual Content คุณภาพได้ทั้งในแบบรูปภาพเดี่ยว รูปภาพอัลบั้ม รวมไปถึงรูปภาพ Infographic ส่วนในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว คุณสามารถทำได้ทั้งแบบคลิปวีดีโอขนาดสั้นและขนาดยาว การ์ตูนแอนิเมชั่น ไปจนถึงการทำ Facebook Live เลยครับ
#4 คิดแคปชั่นให้โดนใจในบรรทัดแรกๆ
แม้ว่ารูปภาพจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยดึงความสนใจและเพิ่ม Engagement ให้คุณ แต่ข้อความในโพสต์ก็ถือเป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะบรรจุสาระสำคัญของโพสต์เอาไว้ คุณสามารถโพสต์ข้อความให้น่าสนใจได้ทั้งแบบข้อความขนาดสั้นและข้อความขนาดยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในช่วงแรกของข้อความจะต้องดึงดูดความสนใจได้มากเพียงพอที่ผู้อ่านจะกดอ่านต่อนั่นเองครับ
#5 หมั่นตอบคอมเมนต์
ในการเพิ่ม Facebook Engagement เมื่อคุณโพสต์คนคอนเทนต์คุณภาพออกไปแล้วก็ถือว่ายังไม่จบงานนะครับ เพราะถ้าผู้อ่านเข้ามาคอมเมนต์ภายในโพสต์ของคุณ ก็จะเป็นการดีถ้าคุณจะตอบคอมเมนต์กลับหรือกดไลค์ให้เขา เพื่อให้เขารับรู้ว่าเป็นการสื่อสารสองทาง และคุณกำลังสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่านอยู่ หรือถ้าหากผู้อ่านตอบกลับคุณอีก ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มยอด Facebook Engagement ให้มากยิ่งขึ้นได้อีก
#6 ทดสอบคอนเทนต์อยู่สม่ำเสมอ
เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมถึง Algorithm ของ Facebook ก็เช่นกัน การโพสต์ในรูปแบบเดิมๆอาจจะไม่ได้ผลเมื่อเวลาผ่านไป คุณจึงควรหมั่นทดสอบคอนเทนต์ที่โพสต์ว่ายังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ หรือลองทดสอบรูปแบบคอนเทนต์ใหม่ๆหลากหลายรูปแบบอยู่เสมอ เพื่อหารูปแบบคอนเทนต์ที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆมาปรับใช้ ก็จะช่วยเพิ่ม Facebook Engagement ให้กับคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
บทสรุปเกี่ยวกับ Facebook Engagement
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่คุณต้องทำเพื่อเพิ่ม Facebook Engagement ก็คือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างถ่องแท้ แล้วบรรจงสร้างคอนเทนต์คุณภาพที่จะสื่อสารกับลูกค้าได้ในภาษาที่ตรงใจนั่นเอง
และถึงแม้ Facebook จะลดลำดับความสำคัญของ Facebook Engagement ลง เพื่อดึงดูดให้แบรนด์ต่างๆหันไปใช้บริการยิงโฆษณากันมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Facebook Engagement จะหมดความสำคัญไปเสียทีเดียว เพราะยังเป็นเสมือนมาตรวัดคุณภาพการทำคอนเทนต์ของคุณที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์ของคุณในระยะยาวได้เป็นอย่างดี อันจะนำไปสู่ยอดขายสินค้าที่คุณต้องการได้ในอนาคตครับ