การตลาด Offline คืออะไร? มีตัวอย่างอะไรบ้าง (Offline Marketing)

การตลาด Offline คืออะไร? มีตัวอย่างอะไรบ้าง (Offline Marketing)

ถ้าเราแปลความหมายของคำว่า  การตลาด offline อย่างตรงไปตรงมา จะสามารถแปลความหมายได้ว่า การทำการตลาดประชาสัมพันธ์ที่ไม่มีการใช้อินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือที่เรารู้จักกันทั่วไปอีกชื่อหนึ่งว่า Classic/Traditional Marketing

ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า การตลาด Offline คืออะไร และ มีตัวอย่างอะไรบ้าง

การตลาด Offline คืออะไร?

การตลาด Offline (Offline Marketing) คือ วิธีการทำการตลาดแบบที่ไม่มีการใช้อินเตอร์เน็ต ข้อจำกัดของการตลาด Offlineคือต้องใช้ต้นทุนที่สูงหากต้องการให้ข้อมูลเข้าถึงผู้คนเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว  แต่การตลาด Offline มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าการตลาด Online ดังนั้นการตลาด Offline ยังคงมีบทบาทสำคัญกับธุรกิจในปัจจุบัน

หลายคนเรียกการตลาด Offline ว่าเป็นการทำการตลาดแบบเก่าหรือแบบดั้งเดิม เช่น การโฆษณาทางทีวี, วิทยุ, การติด/ตั้งป้ายโฆษณา และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น การตลาด Offline มักมีการสื่อสารทางเดียว วัดผลตอบสนองเป็นได้ยาก มีต้นทุนสูง แต่ได้รับความเชื่อถือมากกว่าการตลาดแบบออนไลน์

ข้อมูลที่ใช้นำเสนอผ่านการตลาด offline มักจะนิยมใช้ วีดีโอ รูปภาพ หรือข้อความสั้นๆ กระชับ เข้าใจง่าย ใช้ระยะเวลาสื่อสารสั้นแต่ต้องสื่อสารข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ยังต้องสอดแทรกเรื่องราวที่น่าจดจำ เพื่อสร้างภาพจำให้กับกลุ่มลูกค้า และมีการกล่าวถึงในวงกว้างต่อไป

ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าธุรกิจออนไลน์จะเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะมาแทนทุกอย่าง แต่เราก็ยังให้ได้อยู่ทุกวันนี้ว่าการใช้จ่ายหรือการซื้อของส่วนมากนั้นยังเกิดขึ้นบนโลกออฟไลน์อยู่ (ข้อมูลบางที่ก็บอกว่าว่ามากกว่า 97% ของการซื้อของทั้งหมดยังเป็นออฟไลน์อยู่) เพราะฉะนั้นการเข้าถึงลูกค้าให้ถูกช่องทางก็เลยเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของธุรกิจส่วนมาก

ลักษณะของธุรกิจที่นิยมทำการตลาด Offline 

ก่อนที่เราจะไปดูรายละเอียดส่วนอืนก่อน เรามาลองดูกันก่อนว่าการตลาด Offline เหมาะกับใครหรือธุรกิจแบบไหนบ้าง

  1. ธุรกิจที่มีสถานที่ตั้งแน่นอน  ส่วนมากจะเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายทำให้มีความน่าเชื่อถือ 
  2. ธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนานและมีเงินทุนหนา ส่วนมากจะเกิดก่อนที่มียุคอินเตอร์เน็ต  ซึ่งมีความคุ้นเคยกับการทำการตลาดแบบ offline 
  3. ธุรกิจที่เป็นที่รู้จักของคนท้องถิ่น เรียกได้ว่ามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว  และฐานลูกค้าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างกว้างไม่เฉพาะกลุ่ม  
  4. เป็นธุรกิจที่ขายสินค้าที่คนทั่วไปรู้จัก และเป็นสินค้าที่มีลูกค้าแน่นอน สินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น ยาสระผม ยาสีฟัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เป็นต้น
  5. ธุรกิจระดับ Mass Market หรือตลาดมวลชน เน้นขายปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นแข่งขันกันที่ราคาถูก ทำให้ต้องลดคุณภาพสินค้าเพื่อลดต้นทุน แต่เน้นทำการตลาดประชาสัมพันธ์เข้าถึงทุกพื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อนำเสนอราคาสินค้าที่ถูก ทำให้ต้นทุนของการตลาด offline สูงมา

เครื่องมือและช่องทางการตลาด Offline 

อีกหนึ่งสิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือเรื่องของวิธีทำการตลาดออฟไลน์ ซึ่งจะมาในรูปแบบของเครื่องมือและช่องทางต่างๆ

  1. การโฆษณา (Advertising) เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดที่นิยมกันมาก มีหลายหลากรูปแบบ เช่น โฆษณาผ่านทีวี  วิทยุ  นิตยสาร  ป้าย Bill Board โปสเตอร์ติดตามสถานีรถไฟฟ้า หรือโฆษณาติดข้างรถประจำทาง
  2. ประชาสัมพันธ์ (Public Relations) เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดผ่านช่องทางสื่อสารมวลชน เช่น ช่องข่าว หนังสือพิมพ์ นิตยสาร 
  3. การส่งเสริมการขาย (Promotion) เป็นเครื่องในการทำการตลาดด้วยการจัดกิจกรรมให้ลูกค้าเข้าร่วมชิงของรางวัล เช่น การส่งข้อความเชิญชวนเข้าร่วมชิงของรางวัล หรือส่งชิ้นส่วนสินค้ามาเข้าร่วมชิงของรางวัลต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมักจะเป็นเทศกาลประจำทุกปี
  4. การจัดอีเวนท์ (Event Marketing) เป็นเครื่องในการทำการตลาดเชิงกิจกรรมเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความสนิทและคุ้นเคย เช่น จัดกิจกรรมในตลาดนัด  จัดแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินที่เป็นที่นิยมเพื่อช่วยโปรโมทสินค้า เป็นต้น

การตลาด Offline มีตัวอย่างอะไรบ้าง

การตลาด offline สามารถแบ่งวิธีการทำการตลาดกับธุรกิจได้หลายระดับ ซึ่งปัจจัยหลักขึ้นอยู่ต้นทุนหรืองบประมาณที่ใช้ในการทำการตลาด ถ้าต้องการให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลครั้งละจำนวนมากๆ ต้นทุนในการทำการตลาดจะสูงตามไปด้วย โดยในบทความนี้เราจะแบ่งตัวอย่างการตลาด offline ตามขนาดของธุรกิจและกลุ่มลูกค้า

การตลาด Offline ของธุรกิจขนาดใหญ่

ธุรกิจขนาดใหญ่จะมีทรัพยากรด้านการตลาดเยอะมาก นอกจากจะสามารถลงงบการตลาดได้เยอะแล้ว ยังสามารถจ้างบริษัทอื่นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการตลาดได้อีก (เช่น เอเจนซี่โฆษณา และ ที่ปรึกษาธุรกิจ) การตลาดของธุรกิจประเภทนี้คือการเข้าหาลูกค้าให้เยอะมากที่สุด โดยอาจจะต้องแลกกับงบโฆษณาหลายล้านบาท

  1. ทีวี  เป็นช่องทางการทำการตลาดที่สามารถโฆษณาสินค้าหรือบริการไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว  เพราะว่าในปัจจุบันเกือบจะทุกบ้านมีทีวี ด้วยเทคโนโลยีทีวีปัจจุบันที่ภาพมีความคมชัด สีสันสวยสด มีความสมจริง ทำให้ภาพเคลื่อนไหวของสื่อต่างๆ น่าดูน่าติดตาม แต่ด้วยต้นทุนที่ใช้ในการโฆษณาผ่านช่องทางทีวีนั้นสูงมาก เพียงโฆษณาไม่กี่วินาทีต้นทุนของโฆษณานั้นอาจมีมูลค่าถึงหลักแสนได้ ดังนั้นการโฆษณาผ่านทีวีจึงเหมาะกับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่ต้องการสร้างตัวตนหรือแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก น่าจดจำแก่ลูกค้า  
  2. วิทยุ เป็นช่องทางการทำการตลาดที่สามารถโฆษณาสินค้าหรือบริการสู่กลุ่มลูกค้าต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วได้เช่นเดียวกับทีวี แต่ว่าจะเน้นกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดหรือลูกค้ากลุ่มเดินทางบนท้องถนน ต้นทุนที่ใช้ในการทำการตลาดไม่สูงมาก 
  3. หนังสือพิมพ์ เป็นช่องทางการทำการตลาดที่สามารถโฆษณาสินค้าหรือบริการสู่กลุ่มลูกค้าต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วได้เช่นกัน แต่ว่ามีต้นทุนที่ต่ำกว่า และสามารถใส่รายละเอียดของข้อมูลได้มากกว่า
  4. Bill Board เป็นช่องทางการทำการตลาดด้วยป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มลูกค้าอยู่ในเมืองใหญ่ๆ โดยจุดที่มี Bill Board ต้องเป็นจุดที่ต้องมีผู้คนเดินทางผ่านจุดนั้นเป็นจำนวนมากอยู่เสมอ ต้นทุนในการโฆษณาค่อนข้างสูง สำหรับธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้โปสเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงมาที่สามารถตั้งตามสถานที่ต่างๆ ได้ เช่น ภาพโฆษณาบนรถบัส หรือโปสเตอร์ติดตามสถานีรถไฟฟ้า  
  5. การเป็นผู้สนับสนุน เป็นช่องทางการทำการตลาดผ่านการเป็นผู้สนับสนุนในเวทีการประกวดต่างๆ ด้วยการสนับสนุนด้วยเงินรางวัลหรือสินค้าต่างๆ เช่น รถยนต์ ทองคำ จักรยานยนตร์ เป็นต้น เหมาะสมกับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับเวทีการประกวดรายการนั้นมีผู้คนเข้าถึงได้มากขนาดไหน เช่น การประกวดร้องเพลงระดับจังหวัดผู้สนับสนุนจะเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ ของจังหวัด หรือการประกวดร้องเพลงระดับประเทศผู้สนับสนุนมักเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก ซึ่งเป็นการสร้างภาพให้แบรนด์มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

การตลาด Offline ของธุรกิจขนาดเล็ก

ธุรกิจขนาดเล็กมักมีงบการตลาดหรือทรัพยากรสนับสนุนกิจกรรมด้านการตลาดน้อย ทำให้ต้องเลือกช่องทางการตลาดที่มีขนาดเล็กลง และแปลว่าจะเข้าถึงลูกค้าได้น้อยลง ซึ่งวิธีแก้ก็คือการเลือกช่องทางการตลาดให้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากๆ เพื่อให้งบการตลาดแต่ละอย่างนั้นมีความคุ้มค่ามากที่สุด

  1. นิตยสาร เป็นช่องทางการทำการตลาดที่ต้องการเจาะจงกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ เช่น แฟชั่น แม่และเด็ก และเกมต่างๆ เป็นต้น เหมาะกับธุรกิจที่เน้นการใช้ภาพที่มีสีสันสวยงามเพื่อดึงดูดสายตาลูกค้า
  2. Tele sales เป็นช่องทางการทำการตลาดที่มีการสื่อสารสองทางด้วยการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง มักจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการทำบัตรเครดิต ประกันชีวิต หรือประกันภัย ซึ่งจำเป็นต้องมีการอธิบายละเอียดต่างๆ ของข้อมูลสินค้าให้ลูกค้าได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการได้ทันที จัดได้ว่าช่องทางนี้เป็นช่องทางที่สามารถปิดการขายได้ทันที
  3. การจัดอีเว้นท์ เป็นช่องทางการทำการตลาดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน มักจะเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น การพบปะกับกลุ่มลูกค้าเก่า และเชิญชวนให้กลุ่มลูกค้าใหม่ให้ได้มีโอกาสทดลองสินค้าตัวอย่างได้ หรือจะเป็นการเพิ่มยอดขายด้วยการจัดโปรโมชั่นต่างๆ มาแสดงในงานอีเว้นท์ให้ลูกค้าได้สามารถเลือกซื้อได้ทันที   
  4. แผ่นพับ/ใบปลิว เป็นช่องทางการทำการตลาดที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น การสอนพิเศษ หรือสถาบันติวเตอร์ต่างๆ 
  5. รถโฆษณาเคลื่อนที่ เป็นช่องทางการทำการตลาดที่นิยมมากในต่างจังหวัด เพื่อเชิญชวนกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่นนั้นๆ ไปร่วมงานอีเว้นท์ที่จะจัดขึ้น เพื่อจัดแสดงสินค้าหรือบริการต่างๆ เหมาะกับธุรกิจในท้องถิ่นนั้นๆ เนื่องจากต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง
  6. การแจกนามบัตร ดูเหมือนข่องทางนี้ไม่น่าจะเป็นช่องทางที่สามารถทำการตลาดได้ แต่วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจรายใหญ่ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนรุ่นเก่าที่นิยมมาออกงานต่างๆ เพื่อพบประพูดคุย แต่ยังไม่นิยมแอพพลิเคชั่นบนมือถือ  การแจกนามบัตรถือได้ว่าเป็นวิธีการทำการตลาดที่นิยมในอดีต

การตลาด Offline กับกลุ่มลูกค้าเดิม

หัวข้อการตลาดในส่วนนี้หมายถึงการพูดคุยกับลูกค้าที่รู้จักหรือเคยซื้อกับธุรกิจมาแล้ว ซึ่งจะมาในรูปแบบข้อมูลที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ จริงอยู่ที่ธุรกิจสามารถส่งพนักงานขายเข้าไปหาลูกค้าเหล่านี้โดยตรงได้ แต่หากอยากจะเข้าถึงลูกค้าในปริมาณเยอะๆ ก็ต้องใช้วิธีทำการตลาดเหล่านี้

  1. การส่งจดหมาย เป็นช่องทางการทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้าเดิม เหมาะกับธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลที่อยู่ของลูกค้า เป้าหมายเพื่อทำการตลาดให้ลูกค้ากลุ่มนี้ เช่น การส่งโปรโมชั่น บัตรของขวัญ เพื่อสร้างโอกาสในการแนะนำสินค้าตัวใหม่ หรือเพิ่มยอดขายด้วยการซื้อซ้ำ 
  2. การส่งข้อความหรือ SMS เป็นช่องทางการทำการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายกับกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีความทันสมัยขึ้นมาอีกระดับ เหมาะกับธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้า ด้วยการส่งข้อความสั้นๆ เพื่อแจ้งโปรโมชั่น สิทธิพิเศษ หรือกิจกรรมเข้าร่วมชิงรางวัลต่าง ทั้งนี้ยังเป็นช่องทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้

สุดท้ายนี้เกี่ยวกับการตลาด Offline

สุดท้ายนี้ หากเรามองว่าชีวิตของคนส่วนมากก็ต้องพึ่งพาการออกไปนอกบ้านอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นการไปโรงเรียน ไปทำงาน ไปทำธุระต่างๆ หรือไปเที่ยว เราก็จะเห็นได้ว่าคนส่วนมากก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารจากการตลาดออฟไลน์อยู่แล้ว สรุปก็คือยังไงการตลาดแบบนี้ก็ยังใช้ได้ผลอยู่

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ธุรกิจและนักการตลาดต้องดู ไม่ใช่เรื่องของว่าช่องทางการตลาดแบบไหนที่น่าตื่นเต้นหรือดูแปลกใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ‘ลูกค้าอยู่ที่ช่องทางไหน’ และ ‘ช่องทางไหนทำกำไรได้อยู่บ้าง’

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด