5 ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน เริ่มได้ด้วยตัวเอง

5 ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน เริ่มได้ด้วยตัวเอง (2020)

ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน เป็นโอกาสที่เกิดมาพร้อมโลกออนไลน์ ไม่ว่าใครก็สามารถเริ่มธุรกิจออนไลน์ของตัวเองได้ ขอแค่มีมือถือหรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถต่ออินเตอร์เนตได้ก็พอแล้ว

ยิ่งด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์เสริมทุกวันนี้ เราแทบไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งในการเริ่มทำธุรกิจด้วยซ้ำ โลกทุกวันนี้ขอแค่เรามีความตั้งใจเราก็เริ่มทำธุรกิจออนไลน์ได้แล้ว

ในบทความนี้ ผมมี 5 ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน ที่ยังทำเงินได้ดี

5 ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน เริ่มได้ด้วยตัวเอง

ธุรกิจออนไลน์ไม่เหมือนกับธุรกิจมีหน้าร้านหรือธุรกิจขายของทั่วไป คุณไม่ต้องมีเงินลงทุนมากก็สามารถเริ่มธุรกิจได้ บางคนสามารถเป็นเจ้าของกิจการออนไลน์หลายอย่างพร้อมกันได้โดยที่ใช้เงินลงทุนไม่เยอะเลยด้วยซ้ำ

ตัวอย่างธุรกิจออนไลน์ที่คนนิยมทำกันก็คือการสร้างเว็บไซต์หรือบล็อกผ่าน WordPress หรือการใช้เว็บไซต์อย่าง Lazada Shopee Amazon หรือ Ebay เพื่อขายของโดยไม่ต้องสต็อกสินค้า หลังจากที่คุณขายได้แล้วคุณค่อยเสียค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อยครับ

ประโยชน์ของการทำธุรกิจออนไลน์มีเยอะมากครับ คุณทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากบ้าน หรือทำงานไปเที่ยวไปทั้งปี คุณก็สามารถจัดตารางทำงานให้ตัวเองได้ และ เลือกได้ว่าอยากจทำงานเยอะหรือน้อยแค่ไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณเองเลย

ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่ต้องมีประสบการณ์ทำงาน ประสบการณ์ทำธุรกิจ หรือประสบการณ์ด้านการตลาดในการเริ่มเลยก็ได้ โลกออนไลน์เหมาะสำหรับคนทุกคนที่พร้อมที่จะเริ่มครับ

ตัวอย่างที่ผมเขียนไปเป็นแค่จุดเริ่มต้นของไอเดียในการทำธุรกิจออนไลน์เท่านั้น ยังมีธุรกิจออนไลน์อีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนในการเริ่มต้นด้วยซ้ำ เรามาลองดูห้าวิธีทำธุรกิจออนไลน์สุดฮิตที่ใช้เงินลงทุนนิดเดียวหรือไม่ใช้เงินลงทุนเลยกันครับ

Dropshipping (ดรอปชิบ) – ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุนสต็อก

ไอเดียเบื้องต้นของการทำ Dropshipping ออนไลน์ก็คือการที่เจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องเก็บสต็อกสินค้าไว้เยอะ และบางทีธุรกิจก็ไม่ต้องปวดหัวกับขั้นตอนการจัดส่งยุ่งยากด้วยซ้ำ การที่ธุรกิจไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับการสต็อกสินค้าหรือการจัดส่งก็เท่ากับว่าความเสี่ยงทางธุรกิจน้อยลงครับ และค่าใช้จ่ายก็ลดน้อยลงด้วย

คุณไม่ต้องมีความเสี่ยงในการสต็อกสินค้าที่ขายไม่ได้ ไม่ต้องวุ่นวายในการแพ็คของส่งลูกค้าทุกวัน สำหรับบางธุรกิจก็ไมต้องวุ่นวายกับการผลิตสินค้าด้วยซ้ำ

โฟกัสหลักในการทำธุรกิจ Dropshipping ก็คือการตลาดและการโฆษณาเพื่อที่จะหาลูกค้าที่เหมาะสม หลังจากที่คุณขายได้แล้ว รายละเอียดเรื่องการผลิตสินค้าและการจัดส่งค่อยให้คนอื่นจัดการให้อีกทีครับ ค่าใช้จ่ายในการตลาดของคุณจะมีแค่ค่าการตลาดเพื่อหาลูกค้าเท่านั้น

วิธีทำ Dropshipping นั้นทำได้ง่ายครับ คุณแค่ทำขายสินค้ากับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำ Dropship ขั้นตอนเป็นแบบนี้ครับ

  1. นำสินค้าต่างๆไปลงบนเว็บพวก Lazada และ Shopee หากเราอยากขายต่างประเทศด้วยก็สามารถทำบน Amazon หรือ Ebay ได้ด้วย
  2. หลักจากลูกค้าคุณซื้อสินค้าผ่านทางร้านคุณบนเว็บไซต์พวกนี้ ค่อยไปซื้อสินค้าผ่านร้านของซัพพลายเออร์คุณ (ส่วนมากจะเป็นผู้ผลิตหรือร้านค้าส่ง) คุณต้องซื้อสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่คุณขาย ระบบการซื้ออาจจะง่ายมากขนาดการส่งข้อมูลลูกค้าและข้อมูลสถานที่ส่งให้ซัพพลายเออร์ก็ได้ คุณจะไม่มีความเสี่ยงในการเก็บสต็อกเลยเพราะลูกค้าคุณจ่ายเงินคุณแล้ว
  3. ซัพพลายเออร์หรือคนทำดรอปชิบให้คุณส่งสินค้าให้ลูกค้า

ฟังดูง่ายมากเลยใช่ไหมครับ การทำ Dropshipping เท่ากับว่าคุณไม่ต้องเก็บสต็อกหรือลงทุนอะไรเยอะเลย แปลว่าคุณสามารถขายสินค้าได้หลากหลายและธุรกิจของคุณก็มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำมาก ด้วย (Operating Expense)

แล้วข้อเสียของการทำธุรกิจโมเดล Dropshipping คืออะไรกันนะ? อย่างแรกเลยก็คือคุณต้องหาซัพพลายเออร์ที่สามารถให้คุณ Dropship ได้ ซึ่งต้องเป็นคนที่น่าไว้ใจและคุณสามารถมั่นใจได้ว่าเค้าจะส่งสินค้าให้ลูกค้าจริง เพราะต่อให้คุณไม่ต้องวุ่นวายเรื่องการจัดส่งหรือการผลิตก็จริง หากสินค้าออกมาไม่ดีหรือสินค้าส่งไปถึงมือลูกค้าช้า ในฐานะคนขายยังไงคุณก็ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายในการเริ่มธุรกิจต่ำมาก บางครั้งบริษัทที่ทำโมเดลแบบนี้ก็จะมีความรับผิดชอบต่ำครับ

การที่ค่าใช้จ่ายในการเริ่มธุรกิจต่ำก็เท่ากับว่าคู่แข่งของเราจะเยอะขึ้นด้วย เท่ากับว่าการตัดราคาสามารถเกิดขึ้นได้บ่อย ซึ่งก็จะเท่ากับว่ากำไรของธุรกิจจะน้อยลง (กำไรเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาขายกับค่าใช้จ่ายอื่นเช่นค่าสินค้าและงบการตลาด) ธุรกิจที่กำไรต่อสินค้าน้อยก็ต้องขายแบบมีจำนวนถึงจะได้กำไรก้อนใหญ่พอที่มีมูลค่า

หากคุณอยากจะ Dropship ให้แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด คุณก็อาจจะลองทำแบรนด์ของตัวเอง โรงงานผู้ผลิตหลายแห่งสามารถให้ร้านตีแบรนด์บริษัทลงสินค้าตัวเองได้ การมีแบรนด์นอกจากจะทำให้สินค้าคุณมีมูลค่ามากขึ้นแล้วยังทำให้ธุรกิจของคุณดูน่าเชื่อถือมากกว่าคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นพวกวิตามินที่ขายในห้าง สินค้าที่มีแบรนด์ติดก็ราคาแพงกว่าสินค้าที่ไม่มีแบรนด์อะไรเลยถึงแม้สินค้าพวกนี้อาจจะผลิตมาจากโรงงานเดียวกันก็ตาม

ในช่วงแรกคุณอาจจะเริ่มขายสินค้าผ่านทาง Amazon Ebay หรือ Lazada Shopee ถ้าคุณขายในไทย คุณไม่จำเป็นต้องขายแค่บนเว็บไซต์เดียวก็ได้เพราะค่าใช้จ่ายในการขายของคุณต่ำ อย่างไรก็ตามหากคุณเริ่มมีกำไรหรือเงินหมุนแล้วคุณก็ควรคิดที่จะทำเว็บไซต์ขายของออนไลน์เป็นของตัวเอง

ข้อดี
ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ
ไม่ต้องเก็บสต็อก
สามารถใช้ฐานลูกค้าของเว็บใหญ่ๆได้
ข้อเสีย
ถ้าซัพพลายเออร์ส่งผิด คุณอาจจะโดนว่าได้
การแข่งขันในตลาดสูงมาก
ต้องขายมีจำนวนถึงจะได้กำไรเยอะ

Affiliate Marketing – นายหน้าธุรกิจออนไลน์ ช่วยคนอื่นขาย

การขายแบบ Affiliate Marketing อาจจะฟังดูคล้ายกับการขายแบบ Dropshipping แต่การทำธุรกิจทั้งสองแบบนี้จะมีข้อแตกต่างอยู่นิดหน่อย จุดเด่นของ Affiliate ก็เหมือนกับ Dropshipping ครับ คุณไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้าและก็ไม่ต้องปวดหัวกับการแพ็คของหรือการจัดส่งด้วย

วิธีทำ Affiliate Marketing เบื้องต้นก็คือคุณต้องเลือก ‘ตลาด’ ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ หลังจากนั้นคุณก็หาคู่ค่าทางธุรกิจ Affiliate ที่ขายสินค้าเดียวกันกับตลาดของคุณ Affiliate ที่ดังในต่างประเทศก็คือ Clickbank.com และ Amazon.com เป็นต้น

สำหรับในไทย Lazada และเว็บไซต์ขายของออนไลน์ต่างๆก็เริ่มจริงจังเรื่องการทำ Affiliate มากขึ้นแล้ว คุณสามารถขายสินค้าได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสินค้าดิจิตอล (หนังสือ eBook, เพลง, วิดิโอ, โปรแกรมต่างๆ) หรือสินค้าที่จับต้องได้เช่นเสื้อผ้าหรือสินค้าไอที 

คุณสามารถทำ Affiliate Marketing ได้บนบล็อก เว็บไซต์ หรือแม้แต่ social media ของคุณ บริษัทที่ช่วยคุณทำ Affiliate Marketing จะให้ลิงค์เฉพาะสำหรับธุรกิจคุณมา หากลูกค้าคลิ๊กผ่านลิงค์ของคุณเข้าไปยังเว็บไซต์และได้ทำการซื้อสินค้า ระบบของบริษัทพวกนั้นจะทำการเก็บข้อมูลและคุณก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นกลับมาครับ เปอร์เซ็นของค่าคอมมิชชั่นจะต่างกันแล้วแต่บริษัทหรือสินค้า แต่ส่วนมากค่าคอมจะอยู่ประมาน 5 ถึง 25 % หรืออาจจะมากถึง 50% ก็ได้สำหรับสินค้าดิจิตัล 

เราจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงในการขายของผ่าน Affiliate มีน้อยมาก เพราะค่าใช้จ่ายในการทำ Affiliate จะมีแค่ค่าการตลาดกับค่าโฆษณาเพื่อเรียกลูกค้าเท่านั้น ซึ่งก็เหมือนกับการทำ Dropshipping เช่นกัน

สิ่งที่ Affiliate Marketing ต่างกับการขายแบบ Dropshipping ก็คือเรามีภาระที่ต้องรับผิดชอบน้อยกว่า Dropshipping อีกครับ เนื่องจากว่าเราส่งคนเข้าไปในเว็บไซต์อื่น ความรับผิดชอบในการขายและในการจัดส่งจะอยู่กับเจ้าของเว็บไซต์ทั้งหมด หน้าที่ของเราในสายตาลูกค้าเปลี่ยนจากคนขายกลายเป็น ‘คนแนะนำสินค้า’

หน้าที่หลักของคุณจะเป็นการตลาดและการแนะนำสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมีเดีย การใช้อีเมล์ การเขียนบล็อก หรือจะเป็นวิธีอื่นๆที่คุณจะคิดได้ ไม่ว่าคุณจะทำการตลาดยังไง หลักจากที่ลูกค้าคลิ๊กผ่านลิงค์ของคุณหน้าที่ของคุณก็จบลงครับ คุณไม่ต้องรับผิดชอบการขนส่งและไม่ต้องตามสินค้าให้ลูกค้าด้วยซ้ำ แปลว่าคุณไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้าด้วยเช่นกันครับ

จุดสำคัญของการทำ Affiliate จะกลายเป็นการโฟกัสหาลูกค้าด้วยค่าใช้จ่ายในการตลาดที่ต่ำที่สุด หรือไม่ก็ทำการตลาดแบบฟรีไปเลย

ธุรกิจแบบ Affiliate เป็นการทำธุรกิจที่มีภาระน้อยที่สุดอย่างหนึ่งเลย

ข้อดี
ความเสี่ยงต่ำ เริ่มได้โดยไม่ต้องลงทุน
ภาระในการบริหารน้อย
ข้อเสีย
คุณต้องส่งลูกค้าของคุณไปหาคนอื่น
อาจจะต้องใช้เงินค่าการตลาดหรือค่าโฆษณา

Blogging (การเขียนบล็อก) – ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน แค่ลงแรง

ถ้าคุณเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญหรือความชอบในด้านไหนเป็นพิเศษ คุณก็พร้อมที่จะหารายได้ผ่านการเขียนบล็อกแล้วครับ คุณสามารถใช้บริการของ Blogger.com เพื่อเริ่มเขียนบล็อกของคุณได้แบบฟรี หรือจะจดทะเบียนทำเว็บไซต์บล็อกของตัวเองผ่าน WordPress ด้วยค่าใช้จ่ายปีละไม่กี่พันบาทเท่านั้น ส่วนตัวแล้วผมแนะนำการใช้ WordPress เขียนบล็อกมากเพราะถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยแต่เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากมายเลยครับ 

บล็อกเป็นงานเกี่ยวกับการเขียนส่วนมาก ซึ่งถ้าคุณชอบการเขียนมากผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความจริงแล้วคุณยังสามารถโพสรูปหรือวิดิโอได้ด้วย ตราบใดที่คุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง อิสระในการ ‘ออกแบบและผลิตเนื้อหา’ ก็เป็นของคุณเอง ข้อจำกัดในการผลิตเนื้อหาขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณและแนวทางของบล็อกของคุณเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บทความที่ดีส่วนมากจะมีความสดใหม่หรือให้คุณค่ากับคนที่เข้ามาดู เพราะฉะนั้นคุณควรที่จะจัดตารางการโพสบทความให้ต่อเนื่องและโพสเนื้อหาที่ช่วยเหลือผู้อ่านได้หรือมีประโยชน์จริงๆเป็นส่วนมาก เพราะนี่จะเป็นวิธีที่เราจะทำให้คนเข้าเว็บไซต์เราอย่างต่อเนื่องและทำให้ Google ให้ ranking เว็บไซต์เราสูงขึ้น (เท่ากับว่าคนที่เข้าเว็บไซต์เราก็จะเยอะขึ้น)

แต่เราควรโพสบทความแบบไหนกันดี? บทความของบล็อกส่วนมากจะเป็นแนว คู่มือหรือวิธีการทำต่างๆ บทความจัดอันดับต่างๆ บทความเกี่ยวกับหัวข้อที่น่าสนใจในตลาดของคุณ หรือ เคล็ดลับต่างๆเป็นต้น ตราบใดที่บทความของคุณให้ประโยชน์สำหรับคนอ่านคุณก็สามารถเขียนได้ พอคุณเริ่มเขียนดูแล้วคุณก็จะรู้ว่าไอเดียในการเขียนบล็อกมีเยอะมากเลยครับ

วิธีสร้างรายได้ของบล็อกมีเยอะมาก

Google Adsense – รายได้ธุรกิจออนไลน์ แบบบล็อก

ถ้าคุณเป็นคนที่เข้าเว็บไซต์หรือเล่นอินเตอร์เนตบ่อยๆ คุณก็คงเคยเห็นโฆษณาต่างๆใช่ไหมครับ ส่วนมากแล้วโฆษณาพวกนี้จะมาจากระบบโฆษณาของ Google นั่นเอง 

โฆษณาพวกนี้ใช้ระบบ pay-per-click ในการจ่ายเงินให้เรา หมายความว่าทุกครั้งที่มีคนคลิ๊กโฆษณาบนเว็บไซต์คุณ คุณก็จะได้ส่วนแบ่งค่าโฆษณาจาก Google มา อย่างไรก็ตามรายได้จากแต่ละคลิ๊กรวมกันแล้วไม่กี่บาทเท่านั้นเอง เท่ากับว่าคุณต้องมีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณค่อนข้างเยอะหน่อยถึงจะได้ค่าโฆษณาเพียงพอ อย่างไรก็ตามวิธีการลงโฆษณาก็มีแค่นี้คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยนอกจากเขียนบทความแล้วเอาโค๊ดของ Google มาใส่ในเว็บของคุณ

พอเอาโค๊คมาลงแล้ว โฆษณาก็จะมาลงบล็อกของคุณโดยอัตโนมัติ Google จะจัดหาโฆษณาที่เหมาะสมกับเนื้อหาบล็อกของคุณให้ทันที ยิ่งคนเข้าเว็บคุณเห็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาแค่ไหน โอกาสในการคลิ๊กก็จะเยอะขึ้น เท่ากับว่ารายได้ของคุณก็จะเยอะขึ้น

เครือค่ายโฆษณาบล็อก – สำหรับบล็อกที่โตแล้ว รายได้หลักแสน

ในยุคนี้มีบริษัททำเครือค่ายโฆษณาเยอะมากครับ นอกจาก Google แล้วเราสามารถใช้บริการของเจ้าอื่นเพื่อลงป้ายโฆษณา (banner) บนบล็อกของเราได้เช่นกัน วิธีการทำก็เหมือนกับ Google Adsense เพราะคุณแค่เอาโค๊ดโฆษณามาลงบนบล็อกของคุณและทางเจ้าของโค๊ดก็จะสามารถวัดได้ว่าคนคลิ๊กบนโฆษณาแต่ละอันเท่าไรบ้าง บางครั้งโฆษณาอาจจะเป็นภาพหรือบางครั้งก็อาจจะเป็นวิดิโอก็ได้

เครือค่ายโฆษณาพวกนี้ส่วนมากจะทำงานกับบล็อกที่ค่อนข้างใหญ่แล้วเท่านั้น แปลว่าหากคุณมีคนเข้าเว็บไซต์ไม่ถึงหลายหมื่นคนต่อเดือน โอกาสที่คุณจะหาโฆษณามาลงแบบนี้ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตามรายได้ต่อแต่คลิ๊กที่คุณได้ก็จะเยอะกว่า Google พอควรเลยครับ

Affiliate Marketing บนบล็อก

ผมได้อธิบายการทำ Affiliate Marketing ไว้เยอะแล้ว คุณสามารถใส่ลิงค์ของสินค้าหรือบริการที่คุณอยากโปรโมทไว้บนเว็บไซต์ของคุณได้เหมือนกับการทำ Affiliate ทั่วไปเลย หากคุณมีพื้นที่ของตัวเองเช่นบล็อกแล้ว คุณสามารถเขียนบทความเพื่มเติมเพื่อแนะนำให้คนกดลิงค์มากกว่าเดิมได้ ยกตัวอย่างเช่นการเขียนบทความรีวิว หรือบทความสอนวิธีการใช้เป็นต้น 

ข้อแนะนำในการเขียนบทความทำ Affiliate Marketing บนบล็อกมีดังนี้ครับ เป้าหมายหลักของบล็อกก็คือการลงทุนระยะยาวเพราะการสร้างฐานผู้อ่านใช้เวลาค่อนข้างเยอะ

  • บทความต้องน่าอ่าน – ถ้าคุณเขียนบทความที่คนสามารถหาอ่านได้ที่อื่น โอกาสที่คนจะเข้ามาอ่านบทความของคุณก็คงน้อยลง การใส่ลูกเล่นหรือความเป็นตัวตนของคุณลงในบล็อกก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
  • ต้องลงบทความใหม่เรื่อยๆ – ไม่ว่าใครก็ชอบอะไรใหม่ๆ หากคุณมีตารางการโพสบล็อกที่ต่อเนื่องคนก็จะสามารถเข้ามารออ่านบทความของคุณได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าบล็อกของคุณจะโพสทุกวัน ทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือน คุณก็ควรที่จะมีตารางการโพสเป็นของตัวเอง

คุณต้องจริงใจ

ผมเข้าใจว่าบล็อกอาจจะเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของคุณ แต่คนส่วนมากเข้ามาอ่านบล็อกเพราะอยากได้ความรู้และข้อมูลมากกว่า การที่คุณพยายามขายมากเกินไปจะทำให้คนหนีออกจากเว็บของคุณมากขึ้น การเขียนบทความเพื่อช่วยผู้อ่านและสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาวเพื่อสร้างฐานลูกค้าจะช่วยให้งานคุณง่ายขึ้นเยอะเวลาที่คุณต้องการ ‘ขาย’ หรือ ‘แนะนำ’ สินค้าจริงๆ 

หากคุณวางตัวเป็นคนที่จริงใจและน่าเชื่อถือในบล็อกของคุณ ผู้อ่านก็จะคลิ๊กโฆษณาหรือซื้อสินค้าที่คุณแนะนำโดยธรรมชาติเอง ในยุคที่ใครสามารถโพสอะไรบนอินเตอร์เนตก็ได้ ตัวตนและความน่าเชื่อถือกลายเป็นสิ่งสำคัญมากครับ

การเขียนบทความช่วยผู้อ่านและสร้างความน่าเชื่อถือจะทำให้ Search Engine เช่น Google ชอบบล็อกของเรามากขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะช่วยให้คนเข้าเว็บเรามากขึ้นด้วย นี่เป็นหลักการของ Content Marketing ครับ

คุณสามารถเริ่มเขียนบล็อกได้ในไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่การสร้างเว็บไซต์ให้น่าเชื่อถือและมีฐานลูกค้ามากพอที่จะลงโฆษณานั้นใช้เวลานานมาก ยิ่งไปกว่านั้น จากคนที่เข้ามาเว็บของคุณทั้งหมด คงมีไม่กี่คนที่ซื้อของที่คุณแนะนำจริงๆ

ข้อดี
ค่าใช้จ่ายในการเริ่มน้อย
ต้องจัดตารางเวลาให้ดี
ข้อเสีย
ต้องใช้เวลานานกว่าจะทำเงินได้
การสร้างบทความอาจจะใช้เวลา

การทำวิดีโอออนไลน์ – ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน ใช้ความสร้างสรรค์

คุณรู้จัก YouTube ไหมครับ? คำถามนี้อาจจะดูตลกมากเพราะ YouTube เป็นหนึ่งในเว็บที่คนเข้ามากที่สุดในโลก มีคนดู YouTube วันละหลายร้อยล้านคนเป็นเวลารวมกันหลายล้านนาทีด้วยกัน ซึ่งวิดิโอที่ลง YouTube ก็มีตั้งแต่วิดิโอแมว วิดิโอคนเล่นเกม ไปถึงวิดิโอให้ความรู้หลายอย่างเลยครับ

เราสามารถใช้ YouTube เพื่อหาเงินและสร้างธุรกิจออนไลน์ได้ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำวิดิโอไวรัลให้ดังตูมตามหรอกนะครับ (แต่ถ้าทำได้มันก็จะดีมากเลย)

ผมหมายความว่าคุณสามารถสร้างกลยุทธ์เพื่อสร้างคนดูวิดิโอของคุณในระยะยาว ผ่านการโพสวิดิโอทุกอาทิตย์ งานของคุณก็คือการสร้างวิดิโอที่มีประโยชน์สำหรับคนดูและวิดิโอที่สนุกทำให้คนอยากดูนานๆ วิดิโอที่คุณทำจะเป็นของตลาดไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิดิโอวิธีทำอะไรต่างๆ วิดิโอพูดหรือวิเคราะห์เกี่ยวกับหัวข้อที่คนสนใจในตลาดของคุณ ผมคิดว่าอิสระการทำเนื้อหาลง YouTube มีมากกว่าการเขียนบทความลงบล็อกเสียอีก

ส่วนมากแล้ว รายได้หลักของการทำวิดิโอก็คือค่าโฆษณา ขั้นตอนแรกของการทำ YouTube ก็คือการสร้างบัญชีผู้ใช้และก็เริ่มอัพโหลดวิดิโอได้เลยครับ หลักจากที่มีคนเข้ามาดูวิดิโอพอสมควรแล้ว YouTube ก็จะอนุญาตให้คุณทำเงิน (enable monetization) จากวิดิโอของคุณ ซึ่งก็แปลว่า YouTube จะเอาโฆษณาต่างๆมาลงในวิดิโอของคุณนั่นเอง ผมคิดว่าทุกคนคงเคยเห็นวิดิโอที่ลงใน YouTube ใช่ไหมครับ ถ้ามีใครคลิ๊กบนโฆษณาพวกนี้เจ้าของวิดิโอก็จะได้เงิน

รายได้อีกอย่างที่คนได้ผ่าน YouTube ก็คือการสปอนเซอร์ หากคุณมีผู้ติดตามวิดิโอของคุณเยอะ บางบริษัทก็จะจ่ายเงินเพื่อให้คุณช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการของเค้าผ่านช่อง YouTube ของคุณนั่นเอง

ข้อแนะนำในการสร้างวิดิโอที่น่าติดตามมีดังนี้ครับ 

  • ใช้มือถือหรือกล้องง่ายๆในการถ่าย – กล้องมือถือสมัยนี้เพียงพอที่จะใช้ถ่ายวิดิโอแล้วครับ สิ่งที่คุณควรจะมีเพื่อเพิ่มคุณภาพของวิดิโอของคุณก็คือแสง หากคุณถ่ายวิดิโอตัวเองพูดคุณก็ควรทำให้แสงส่องหน้าของคุณเพื่อให้วิดิโอออกมาชัดมากขึ้น
  • เสียงต้องชัด – คุณไม่อยากให้วิดิโอของคุณมีเสียงคอมหรือเสียงแอร์อยู่ในแบ็คกราว หากสภาพแวดล้อมของคุณไม่เอื้ออำนวยให้ถ่ายวิดิโอ ผมแนะนำให้รอช่วงกลางคืนหรือช่วงที่เงียบๆแทน 
  • ตัดต่อวิดิโอแบบง่ายๆ – โปรแกรมตัดต่อวิดิโออย่าง iMovie เป็นที่ถูกใจของนักทำวิดิโอหลายคนเลยครับ ยิ่งคุณพูดเก่งแค่ไหน ปัญหาในการตัดต่อวิดิโอก็จะมีน้อยลง

สุดท้ายนี้ จำไว้ว่าวิดิโอของคุณไม่จำเป็นต้องดูเท่หรือดูเจ๋งอะไรเลย คุณแค่ทำวิดิโอง่ายๆที่มีประโยชน์ต่อคนดูก็เพียงพอแล้วครับ แต่ถ้าคุณทำให้วิดิโอมันสนุกหรือดูตลกด้วยก็ยิ่งดีเลย

หลักจากที่คุณโพสวิดิโอเสร็จแล้ว คุณอาจจะสร้างเพจเฟสบุ๊คมาช่วยโปรโมทด้วยก็ได้ หรือไม่ก็โพสลง Twitter บล็อกของคุณ หรือกลุ่มไลน์ก็ได้ครับ การโปรโมทจะช่วยคุณได้เยอะในช่วยแรกที่คุณยังไม่มีผู้ติดตามเยอะ

หลายคนใช้ YouTube ในการแนะนำคนเข้าเว็บไซต์หรือบล็อกของตัวเอง และใช้เว็บหรือบล็อกใน ‘การสร้างรายได้’ แทน เช่นการขายสินค้าหรือขายคอร์สเป็นต้น การที่เราออกมาพูดหน้าวิดิโอทำให้คนดูรู้สึกว่าเรา ‘เข้าถึง’ ได้ง่ายกกว่าการโพสลงเฟสบุ๊คหรือการเขียนบล็อกครับ เท่ากับว่าเราสามารถขายหรือแนะนำสินค้าให้กับคนดูได้ดีกว่า

ข้อดี
สามารถใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ได้ เช่นมือถือ
ตลาดใหญ่มาก
ข้อเสีย
สร้างวิดิโออาจจะใช้เวลานาน
ใช้เวลานานกว่าจะทำเงินได้

ขายสินค้าดิจิตัลหรือสินค้าให้ข้อมูล – ธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน เน้นให้ความรู้

จุดเด่นของการทำธุรกิจออนไลน์ก็คือคุณไม่ต้องสต็อกหรือมีสินค้าก็ได้ การสร้างสินค้าดิจิตัลก็เป็นทางเลือกที่ง่ายและเร็วที่สุดในการทำเงินเลย

ไอเดียและวิธิในการสร้างสินค้าดิจิตัลมีเยอะมากครับ แต่โดยรวมแล้วสินค้าพวกนี้จะเป็นสินค้าให้ความรู้หรือความสนุกให้กับคนดู ยกตัวอย่างเช่น

  • เสียง – คอร์สต่างๆ การอัดเสียงให้สัมภาษณ์ หรือ สินค้าอื่นที่มีเสียง
  • วิดิโอ – คอร์ส การอัดการสัมนาผ่านเว็บ วิดิโอสอนการใช้งานต่างๆ วิดิโอให้สัมภาษณ์
  • ข้อความ – หนังสือออนไลน์ (eBook) คู่มือการใช้งานต่างๆ คู่มือท่องเที่ยว

ไม่ว่าคุณอยากจะทำสินค้าดิจิตัลแบบไหน หัวใจหลักก็คือการทำสินค้าให้ออกมามีประโยชน์สำหรับผู้ใช้ เราควรจะเลือกชนิทสินค้าที่เหมาะสมต่อลูกค้าและเหมาะสมกับความสามารถของเราให้มากที่สุด 

สินค้าพวกนี้อยู่ในหมวดของ passive income หรือรายได้ที่คุณแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย หลักจากที่คุณลงสินค้าบนเว็บไซต์คุณแล้ว คุณสามารถทำเงินได้ในขณะที่คุณนอนอยู่หรืออกไปเที่ยวต่างประเทศก็ได้ สิ่งที่คุณต้องทำบ่อยๆคือการกลับมาดูสินค้าที่คุณขายอยู่แล้ววิเคราะห์ว่าอะไรขายดีและสินค้าแนวไหนที่คุณควรที่จะทำเพิ่มเพื่อสร้างยอดขายเพิ่ม

อย่างไรก็ตามสินค้าดิจิตัลก็มีปัญหามากกว่าที่ทุกคนเข้าใจนะครับ บางครั้งลูกค้าก็อาจจะจ่ายเงินไม่ได้ บางครั้งเราส่งอีเมล์หรือบิลไปหาลูกค้าแล้วลูกค้าไม่ได้รับ หรือบางครั้งลูกค้าอาจจะไม่พอใจสินค้าของเราและอยากของเงินคืน หากเราอยากจะทำให้สินค้าดิจิตัลเป็น passive income ที่แท้จริง เราควรหาคนมาดูแลเรื่องลูกค้าสัมพันธ์ด้วย

ข้อดี
เป็นรายได้ passive income
สินค้าสามารถทำกำไรได้เยอะ
ข้อเสีย
สร้างสินค้าอาจจะใช้เวลานาน
สร้างสินค้าอาจจะมีค่าใช้จ่าย

ธุรกิจธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องลงทุน…ทำได้หลายช่องทาง

สุดท้ายแล้วผมอยากจะแนะนำว่าไม่ว่าคุณจะเลือกทำธุรกิจแบบไหน ตอนจบคุณควรจะสร้างรายได้หลายช่องทางเพื่อลดความเสี่ยงในธุรกิจ

ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องมีเว็บ dropship และคุณต้องทำเว็บ affiliate marketing พร้อมกันนะครับ ผมหมายความว่าคุณควรจะเลือกตลาดใดตลาดหนึ่งและสร้างฐานลูกค้าที่คุณสามารถขายสินค้าหลายอย่างให้กับกลุ่มลูกค้านี้ได้ ซึ่งสินค้าที่จะขายก็ขึ้นอยู่กับความชอบของคุณเช่นจะขาย dropship ขาย affiliate ขายสินค้าดิจิตัลเป็นต้น

คุณควรเลือกโมเดลใดโมเดลหนึ่งแล้วก็เริ่มทำไปเลยครับ หากโมเดลธุรกิจแรกอยู่ตัวแล้วค่อยเสริมช่องทางทำรายได้อื่นเพิ่มเติม วิธีนี้จะช่วยทำให้ธุรกิจของคุณโตขึ้นได้เรื่อยๆในขณะที่คุณลดความเสี่ยงได้เยอะ

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด