ทุกคนคงรู้ดีว่าเว็บไซต์ Pantip.com เป็นอภิมหาคลังข้อมูลและศูนย์แชร์ประสบการณ์ของคนไทยครับ แน่นอนว่าต้องมีกูรูเจ้าของกิจการทั้งหลายมาแชร์ประสบการณ์เริ่มทำธุรกิจของตัวเองอยู่ด้วย ผมเห็นว่ามีสองกระทู้เด็ด ที่มีคนคอมเม้นมากเป็นพิเศษ
สองกระทู้รวมกันมีมากกว่า 200 คอมเม้น มีเจ้าของกิจการมากกว่า 40 คนใจดี แชร์ข้อคิดและเคล็ดลับจากการทำธุรกิจที่พวกเค้าเรียนรู้พร้อมหยาดเหงื่อและน้ำตา แต่ละความคิดเห็นมีความยาวตั้งแต่ 500 คำจนถึง 2000+ คำเลยครับ
ผมได้รวมรวบข้อมูลทั้งหมด และคัดสิ่งสำคัญที่สุดออกมาเพื่อแชร์ให้ทุกคนที่นี่ หวังว่าบทความนี้จะเป็นทั้งกำลังใจ และความรู้ให้กับคนที่กำลังเริ่มธุรกิจของตัวเองอยู่ ทุกคนจะได้ไม่ต้อง ‘เรียนรู้อย่างล้มลุกคลุกคลาน’ ภายหลัง (เหมือนที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ 555)
บทเรียนที่ #1: ต้องรู้เสมอว่าเวลานี้เราควรทำอะไร
หลายคนโฟกัสแต่ว่าเราต้องทำอะไร เราควรทำอะไร แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องเวลา ‘เวลานี้เราควรทำอะไร’ ความสามารถในการตัดสินใจและการบริหารเวลา คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างธุรกิจ การเริ่มกิจการจาก 0 เท่ากับว่าเรามีร้อยพันอย่างที่ต้องทำ และเราก็ไม่ได้มีเงินทุนมากพอที่จะจ้างคนนู้นคนนี้ช่วยทำได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเลือกว่าสิ่งไหนสำคัญที่สุดเสมอ เราต้อง ทุ่มเท และ ใส่ใจกับทุกการสินใจของเรา (ข้อแนะนำจาก สมาชิกหมายเลข 774868)
บทเรียนที่ #2: คู่ชีวิตต้องเข้าใจและช่วยเหลือ เพราะกำลังใจคือสิ่งสำคัญ
ถึงแม้ธุรกิจจะเป็นของเรา แต่เราก็จำเป็นต้องมีชีวิตมากกว่าแค่ในธุรกิจ สำหรับคนที่มีแฟน หรือแต่งงานแล้ว การได้การสนับสนุนจากคู่ชีวิตของเรานั้นเป็นกำลังใจที่มหาศาลมาก บางครั้งเราก็อาจจะได้มุมมองใหม่หรือคำแนะนำที่เราไม่เคยคิดถึงก็ได้ คู่ชีวิตที่ดีจะทำให้เรารู้สึกเหมือนมีหุ้นส่วนทางธุรกิจเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเลย (ไม่ใช่เพราะเค้าออกทุนให้ หรือเพราะมีความรู้เยอะหรอกนะ แต่เพราะเค้าเป็นกำลังใจและผู้ฟังที่ดี)
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็พูดบ่อยๆว่าที่ทำได้ทุกวันนี้ เพราะภรรยาหรือสามีสนับสนุนครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีแฟนหรือยังไม่แต่งงาน ก็สามารถพูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนแทนไปก่อน (ข้อแนะนำจาก สมาชิกหมายเลข 3830672 และ 764698)
บทเรียนที่ #3: เริ่มธุรกิจ จาก hobby โตได้จริง แต่ให้เริ่มแบบถูกๆ
หลายคนคิดว่าการเริ่มธุรกิจต้องมีเงินทุนเยอะ หรือต้องขายอะไรในตลาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง เราสามารถนำสิ่งที่เราชอบ หรือ hobby มาทำเป็นธุรกิจได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุก hobby ที่จะขายดีและไม่ใช่ธุรกิจที่จะทำกำไรได้ สิ่งที่เราต้องคิดเวลาสร้างธุรกิจจากงานอดิเรกของเราคือ จะเริ่มยังไงให้ความเสี่ยงน้อยที่สุด
ความเสี่ยงน้อยที่สุด แปลว่าแทนที่จะลงเงินเยอะ เราควรลงทุนด้วยเวลาของเรา แทนที่จะลาออกมาทำเลย คุณก็ทำไประหว่างวันหยุด หรือช่วงเลิกงานแทน ข้อเสียของการเริ่มแบบถูกๆ หรือการจำกัดงบในการลงทุนช่วงแรกจำทำให้ธุรกิจโตช้าหน่อย แต่คุณก็คงไม่ได้บ่นมากเพราะคุณทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่ (ข้อแนะนำจาก สมาชิกหมายเลข 764698)
บทเรียนที่ #4: ถ้าเรายิ่งกลัว ต้องยิ่งวางแผนให้รัดกุม คำถามเยอะไว้ก่อน แต่ต้องหาวิธีตอบด้วย
หากเรามีเงินลงไปกับธุรกิจเยอะแล้ว หรืออนาคตของเราแขวนไว้กับธุรกิจอันนี้ สิ่งที่คุณต้องทำคือการตั้งคำถามให้รัดกุม และการวางแผน คุณต้องคิดให้รอบคอบ ว่าตลาดของคุณคืออะไร ลูกค้าของคุณเป็นใคร คู่แข่งเป็นใคร สินค้าคืออะไร ซื้อได้ที่ไหน ราคาขายเท่าไร และเจาะลงหาวิธีตอบให้ได้ พร้อมด้วยรายละเอียดและแผนดำเนินการที่ทำได้จริง (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ 1ปีมี365วัน)
บทเรียนที่ #5: ทำธุรกิจ ต้องสร้างเงินหมุนและเก็บเงินฉุกเฉิน
การบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุด คือการบริหารวิธีการใช้เงินของเรา การรู้จักวิธีใช้เงินให้ฉลาดและคิดเผื่อช่วงที่เราอาจจะมีรายได้มากพอค่าใช้จ่าย เงินฉุกเฉินที่จะทำให้ธุรกิจคล่องตัวคือประมาณ 5-6 เดือนครับ หากคุณมีเงินเท่านี้ต่อให้มีปัญหาในระยะสั้น คุณก็ยังใช้เงินฉุกเฉินเพื่อซื้อเวลาในการแก้ปัญหาได้ พอแก้ปัญหาเสร็จแล้วก็เริ่มสร้างระบบในการใช้เงินขึ้นมา ใช้หนี้ก่อนใช้ส่วนตัว ก้อนไหนเงินบริษัท ก้อนไหนเงินเดือนคุณ และค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ คือกำไรในทันที (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ kop147)
บทเรียนที่ #6: โดยเฉลี่ยแล้ว ช่วงปีที่ห้า ธุรกิจโตขึ้น อยู่ตัว และมีวันหยุด
ผมสังเกตเห็นเลยว่าหลายความคิดเห็นชอบพูดถึง ‘ปีที่ 5’ ปีที่ห้าคือปีที่หลายคนบอกว่าธุรกิจ เริ่มอยู่ตัว และเริ่มหาวันหยุดให้ตัวเองได้ ผมเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะเหมือนกันหมด แต่หากใครที่กำลังเริ่มแล้วรู้สึกว่าทำไมงานมันเครียดจัง เลิกดีไหม ให้ลองมองไปสู่อนาคตดูครับ ลองพยายามสู้ให้ถึงที่สุดเพราะว่า เจ้าของกิจการหลายคนก็ใช้เวลานานมากกว่าจะหาความมั่นคงได้ (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ IFERROR และ Halo Aromatic)
บทเรียนที่ #7: ความสำเร็จ ไม่ใช่การเริ่มครั้งแรกของพวกเขา หากแต่เป็นการเริ่มอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากเจ๊งมาหลายครั้งต่างหาก
เวลาถามเจ้าของกิจการว่า เริ่มยังไง มีไม่กี่คนที่เริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนตั้งกิจการครับ ส่วนมากจะพูดถึงความลำบากในสมัยเด็ก สิ่งที่เคยทำมาตอนเรียนหรือในงานประจำ และ ธุรกิจก่อนหน้านี้ที่ทำแล้วเลิกไป ทุกคนให้ความสำคัญต่อประสบการณ์พวกนี้มาก และคงคิดว่าสิ่งที่ได้จากประสบการณ์เหล่านี้เป็นตัวผลักดันให้พวกเค้ามาถึงจุดที่ทำธุรกิจตอนปัจจุบันได้
ไม่ใช่ทุกคนที่เริ่มครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จเลย ส่วนมากล้มแล้วล้มอีก เริ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าจะทำได้ดีจนคนอื่นชื่นชม (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ pabada)
บทเรียนที่ #8: ทุนไม่ใช่แค่เงินนะ คอนเนคชั่นกับความรู้ ก็คือทุนเหมือนกัน
หากเราคิดว่าเราเสียเปรียบคนอื่นเพราะไม่มีทุน ให้หันกลับมามองประสบการณ์ความรู้ และคอนเนคชั่นของเราอีกทีก่อนว่าสิ่งพวกนี้จะช่วยอะไรเราได้บ้างไหม เงินทุนสำคัญสำหรับบางธุรกิจครับ แต่ถ้าสิ่งที่เราอยากทำสามารถเริ่มได้โดยที่เราไม่ต้องลงเงินเยอะ ให้เราลองหันมาดูสิ่งอื่นในชีวิตเราว่ามีอะไรที่เราสามารถหยิบมาช่วยได้ไหม (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ aweb)
บทเรียนที่ #9: หลายคนขอบคุณภาษาอังกฤษ (ได้ทั้งติดต่อลูกค้า และหาความรู้)
ภาษาที่สองจะช่วยขยายโลกของคุณ คุณสามารถเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของคุณได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นการขายคนต่างชาติในไทย หรือการขายลูกค้าในต่างประเทศ อีกสิ่งหนึ่งก็คือภาษาอังกฤษ บวกกับความสามารถในการหาข้อมูลจาก Google จะทำให้คุณเรียนรู้อะไรก็ได้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ เหมือนกับว่าห้องสมุดของคุณใหญ่ขึ้น แปลว่าแค่เพียงคุณรู้ภาษาเพิ่มคุณก็จะเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจของตัวเองได้เยอะครับ (ข้อแนะนำจาก สมาชิกหมายเลข 1089706 และ 764698)
บทเรียนที่ #10: ช่วงแรกเราต้องพยายามทำเอง แต่จะโตได้ต้องมีทีม
เรื่องราวในการทำธุรกิจจาก 0 ถึงหลายล้านของทุกคนจะมี จุดเริ่มต้นกับจุดที่ธุรกิจขยาย
จุดเริ่มต้นก็คงเหมือนที่หลายคนเข้าใจ ทำงานเยอะ เหนื่อย ไม่ค่อยได้พัก ไม่ค่อยมีพนักงาน และต้องใช้เวลาเยอะในการพยุงธุรกิจให้โต แต่การที่คุณจะทำให้ธุรกิจโต คุณจำเป็นต้องมีคนช่วยครับ ความสามารถในการกระจายงานให้พนักงานอย่างเหมาะสมคือสิ่งที่แยกระหว่าง ธุรกิจที่อยากโต กับ ธุรกิจที่โตแล้ว เมื่อคุณกระจายงานให้พนักงานแล้ว คุณจะสามารถเอาเวลาไปเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจต่อได้ (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ Life Looke)
บทเรียนที่ #11: สุดท้ายฝากไว้ครับ การไม่เป็นโรค คือลาภอันประเสริฐ
สิ่งที่ความคิดเห็นนี้อยากจะสื่อก็คือ เจ้าของกิจการใช้เวลากับธุรกิจตัวเองเยอะมาก บางคนก็ไม่ได้ห่วงสุขภาพตัวเองขนาดนั้น เช่นอาจจะเลือกที่จะไม่นอน หรือไม่ออกกำลังกาย เพื่อที่เอาเวลามาทำธุรกิจ ผมเข้าใจว่าธุรกิจบางช่วงก็ต้องอาศัยการใส่ใจจากเจ้าของไม่อย่างนั้นก็คงไม่รอด แต่หากคุณมีเวลา คุณจำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองให้ดี การไม่เป็นโรค คือลาภอันประเสริฐครับ (ข้อแนะนำจาก สมาชิกชื่อ kop147)
หากสนใจอยากจะอ่านกระทู้ต้นฉบับสามารถดูได้ที่ กระทู้ 1 และ กระทู้ 2