เริ่มกิจการยังไงไม่ให้ล่ม – สุดยอดคู่มือเริ่มต้นธุรกิจ

เริ่มกิจการยังไงไม่ให้ล่ม – สุดยอดคู่มือเริ่มต้นธุรกิจ

ถามนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการที่คุณรู้จักได้ คุณจะรู้เลยว่า ‘การเริ่มต้นธุรกิจ’ ใช้เวลาและความพยายามเยอะมาก การหาไอเดียทำธุรกิจเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ไอเดียก็ไม่สามารถกลายเป็นความจริงได้ถ้าเราพยายามไม่มากพอ

แต่การเริ่มต้นธุรกิจต้องพยายามส่วนไหนเป็นพิเศษกันนะ? ‘ขั้นตอนในการเริ่มธุรกิจ’ ที่ดีมีหลายส่วน หลายวิธีมากจริงๆ แต่ถ้าคุณอยากจะเริ่มทำธุรกิจ คุณควรที่จะทำความเข้าใจแต่ละขั้นตอนในการทำให้ฝันของคุณเป็นจริง

งานจำพวก ‘ตั้งชื่อบริษัท’ หรือ ‘หาคนทำโลโก้’ เป็นสิ่งที่ใครก็คิดได้ แต่ขั้นตอนที่คนไม่ค่อยพูดถึงและมีความสำคัญมากพอๆกันมีอะไรบ้างล่ะ?

เริ่มกิจการยังไงไม่ให้ล่ม – สุดยอดคู่มือเริ่มต้นธุรกิจ

การเริ่มธุรกิจ เริ่มจากการหาไอเดียทำธุรกิจ การทดสอบตลาด การหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับตลาด การหาสินค้าที่เป็นรายได้หลัก การหาทุน การหาลูกค้าคนแรก และการขยายตัวของธุรกิจ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นใช้เวลาและต้องทำเป็นขั้นตอน

บทความนี้อาจจะยาวไปหน่อย แต่ผมจะเรียบเรียงออกมาให้ละเอียดและเป็นขั้นตอนมากที่สุด

หาไอเดียในการเริ่มธุรกิจ

‘ขายอะไรดี’ เป็นคำถามสุดฮิตสำหรับหลายๆคนเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจจากสิ่งที่คุณชอบ หรือการทำธุรกิจจากโอกาสที่คุณเห็นก็ตาม ในส่วนนี้หากใครสนใจ ผมแนะนำให้อ่านอีกหนึ่งบทความสุดละเอียดเรื่อง ขายอะไรดี กำไรเยอะ ที่มีตัวอย่างสินค้าน่าขายมากกว่า 60 อย่างด้วยกัน

จุดเริ่มต้นของไอเดียทำธุรกิจ

ไอเดียที่ดีที่สุดคือไอเดียที่คุณเคยเห็นบริษัทอื่นหรือคนอื่นทำแล้ว แต่ในพื้นที่ของคุณยังไม่มีใครทำ ให้ลองดูธุรกิจที่มีอยู่ในตลาดตอนแล้วสังเกตว่ามีสิ่งไหนที่คุณสามารถทำได้ ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า หรือเหมาะกับกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางมากกว่า หากคุณคิดออกแล้วก็เท่ากับว่าคุณมีไอเดียแล้ว

คุณควรเริ่มถามตัวเองว่า ‘ทำไมคุณถึงอยากทำธุรกิจ’ และควรจะทำความเข้าใจตัวเองว่าสิ่งที่อยากทำเป็น ‘ความต้องการของคุณ’ หรือ ‘ความต้องการของตลาด’ ถ้าสิ่งที่คุณจะทำเป็นความต้องการของตลาดโอกาสที่ธุรกิจของคุณจะโตได้จะมีมากกว่า

ผมไม่ได้หมายความว่าถ้าธุรกิจเป็น ‘ความต้องการของคุณเอง’ แล้วจะไปไม่รอดนะครับ แต่คุณแค่ต้องบริหารความเสี่ยงมากกว่าเดิมและควรหาตัวเลือกในการเริ่มธุรกิจประเภทนี้แบบที่มีค่าใช้จ่ายไม่เยอะมาก

วิธีสำหรับคนที่ยังไม่มีไอเดีย 

อีกหนึ่งตัวเลือกในการเริ่มธุรกิจสำหรับคนที่ยังไม่มีไอเดียก็คือการซื้อ แฟรนไชส์ ของบริษัทที่ประสบความสำเร็จแล้ว เคยมีคนพูดไว้ว่า ‘ถ้าเราสู้เค้าไม่ได้ ก็ให้ร่วมมือกันแทน’ บริษัทพวกนี้จะมีโมเดลธุรกิจและแบรนด์พร้อมอยู่แล้ว สิ่งที่คุณต้องเตรียมก็มีแค่ทำเลและเงินลงทุน

ไม่ว่าไอเดียของคุณจะมากจากไหน หรือเป็นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่รอบคอบที่สุดคือคุณต้องมั่นใจให้ได้ว่าไอเดียนี้มันสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าได้จริง พวกแผนธุรกิจหรือชื่อบริษัทค่อยตามมาทีหลังได้

ในช่วงที่เราหาไอเดียว่า ‘ขายอะไรดี’ เราต้องใส่ใจกับรายละเอียดให้มาก สุดท้ายแล้วหากไอเดียนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ได้สนใยเลย หรือไม่ได้เหมาะกับตลาดมากขนาดนั้น คุณก็ควรที่กลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น…หาไอเดียใหม่ที่ดีกว่า

ทดสอบตลาด ก่อนลงทุนเริ่มต้นธุรกิจ

ก่อนที่จะทดสอบตลาด

สิ่งแรกที่คุณต้องมีก่อนที่จะสร้างธุรกิจก็คือคุณต้องรู้จักตลาดของคุณครับ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะมาจากสามอย่างนี้

  1. โอกาสจากตลาดที่เปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่นการที่คนส่วนมากเล่นเฟสบุ๊คทำให้หลายคนเริ่มหันที่จะมาขายของบนเฟสบุ๊คครับ ตลาดเปลี่ยนไป ธุรกิจก็เปลี่ยนตาม
  2. โอกาสจากสินค้าหรือธุรกิจแนวใหม่ ข้อนี้จะต่างจากข้อที่หนึ่งเพราะตลาดจะไม่ได้เปลี่ยนครับ แต่เราแค่จะแนะนำสินค้าที่ดีกว่ามาแทนเช่น ไอโฟนเจ็ดที่มาแทนไอโฟนหก หรือ ไอศศริมชาเขียวแทนไอศศรีมกะทิ
  3. โอกาสจาก ‘การลอก’ การลอกให้ ‘เร็วกว่า’ ‘ถูกกว่า’ หรือ ‘ดีกว่า’

พอจะเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่าโอกาสในตลาดประกอบไปด้วย ตัวตลาดและตัวสินค้า จะเป็นตลาดเปลี่ยนสินค้าไม่เปลี่ยน(1) หรือ ตลาดไม่เปลี่ยนสินค้าเปลี่ยน(2) ก็เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีทั้งนั้น แน่นอนครับถ้าคุณแนะนำสินค้าใหม่ไปในตลาดใหม่ (1+2) สิ่งที่คุณจะได้ก็คือบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น ‘คอมพิวเตอร์ของ Microsoft’ ‘iPhone ของ Apple’ หรือ ‘Application ของ Grab/Uber’ นั้นเอง

ในการเลือกตลาดนั้นให้คุณลองดูลักษณะพิเศษพวกนี้ให้ดีครับ

  1. ตลาดที่เปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงคือโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ตลาดเปลี่ยนไม่พอนะครับ ลูกค้าต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนตามด้วย
  2. ตลาดที่คนไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าเป็นตลาดที่เล็กจนคนไม่สนใจนะครับ แต่ผมหมายถึงตลาดที่คนมองข้ามไปเพราะส่วนมากอาจจะไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่า ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจขายแมลงสาบหรือใส้เดือนที่จริงๆแล้วมีมูลค่าพอควรเลยทีเดียว ตลาดพวกนี้จะไม่ค่อยมีคนเล่นเยอะครับเพราะฉะนั้นยิ่งเราไปจัดระบบหรือช่วยเค้ามากเท่าไร เราก็ยิ่งสร้างมูลค่าได้มากขึ้นครับ
  3. ตลาดที่ใหญ่ ยิ่งตลาดคุณใหญ่เท่าไร คุณก็จะมีพื้นที่ขยายได้มากเท่านั้นครับ ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจผมอยากให้ทุกคนลองประเมินดูว่าตลาดเรามันหลักร้อยล้าน พันล้าน หรือมากกว่านั้นกันแน่
  4. ตลาดที่โตเร็ว ตลาดที่กำลังโตคือตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและต้องมีการตัดสินใจอะไรใหม่ๆเยอะ ปัจจัยหลักคือการเข้าไปเป็นส่วนร่วมในการตัดสินใจพวกนี้ครับ ยิ่งไปกว่านั้นตลาดที่กำลังโตแบบรวดเร็วจะไม่ค่อยมีการแข่งขันที่สูงเพราะแต่ละบริษัทไม่จำเป็นต้องตัดราคาสู้กันเท่าตลาดที่โตช้า
  5. ตลาดที่เจ้าตลาดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หลายครั้งที่บริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถลงไปเล่นอะไรใหม่ได้ อาจจะเพราะด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าหรือเพราะบริษัทใหญ่เคลื่อนไหวได้ช้ากว่าเช่น Amazon.com สามารถตีตลาดร้านหนังสือ Barnes&Nobles ได้เพราะค่าใช้จ่ายในการมีหน้าร้านหลายร้อยที่มันเยอะมากจนทำให้ราคาหนังสือแพงตาม Amazon เลยสามารถขายแบบ ‘ตัดราคา’ ได้ครับ
  6. ตลาดที่คู่แข่งน้อย สุดท้ายแล้วคู่แข่งก็สำคัญมากในการทำธุรกิจ หากตลาดเรามีคู่แข่งน้อยเราก็มีโอกาสในการโตมากกว่า

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เห็นภาพรวมที่กว้างขึ้นว่าโอกาสในธุรกิจมีตั้งหลายอย่างหลายวิธี ต่อไปผมจะเขียนถึงวิธีวิจัยและพัฒนาไอเดียทั้งหลายนะครับ

วิธีประเมินตลาดก่อนขาย

‘ไอเดียแบบนี้จะมีคนซื้อกี่คน’ หลักจากที่เรามีไอเดียสินค้าหรือการบริการแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้เราประเมินธุรกิจได้แม่นยำมากขึ้นก็คือการประเมินโอกาสทางธุรกิจนั่นเอง (Market Sizing) วันนี้ผมอยากจะมีเสนอวิธีคำนวณโอกาสทางธุรกิจแบบง่ายๆดูครับ สูตรคำนวณก็คือ:

จำนวนลูกค้า x มูลค่าสินค้าที่ลูกค้าพร้อมจ่าย x ปริมาณที่ซื้อต่อปี

  • จำนวนลูกค้า ก็คือลูกค้าที่มีโอกาสที่จะซื้อสินค้าของคุณ เช่นหากคุณขายสินค้าเด็กในกรุงเทพ จำนวนลูกค้าในแต่ละปีก็จะเป็นครอบครัวที่มีเด็กแรกเกิด 100,000 ครอบครัวในกรุงเทพ ตัวเลขพวกนี้คุณสามารถหาจากกูเกิ้ลได้ง่ายๆครับ
  • มูลค่าสินค้าที่ลูกค้าพร้อมจ่าย เช่นเสื้อผ้าเด็กหนึ่งชิ้นมีราคาเฉลี่ยคือ 200 บาท หากคุณกำลังทำสินค้าใหม่จะลองสำรวจตลาดเทียบสินค้าที่ใกล้เคียงดูก็ได้ครับ
  • ปริมาณที่ซื้อต่อปี สำหรับสินค้าเด็กแรกเกิดอาจจะเยอะหน่อยเช่นเด็กหนึ่งคนอาจจะต้องใช้ 10 ชุดทุกสามเดือน เพราะตัวโตจนต้องซื้อใหม่เรื่อยๆ ในที่นี้จำนวนที่ครอบครัวนึงจะต้องซื้อก็คือ 10 ชิ้น ต่อ 3 เดือน * 12 เดือนต่อปี (10/3 x 12) เท่ากับ 40 ตัวต่อปี

ในที่นี้ขนาดของตลาดเสื้อผ้าเด็กในกรุงเทพจะเท่ากับ:

100,000 ครอบครัว x 200 บาทต่อตัว x 40 ตัวต่อปี = 800,000,000 บาท นั่นเอง

ตัวเลขนี้ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะขายได้แปดร้อยล้านบาทนับตั้งแต่วันแรกหรืออย่างไร ปัจจัยสำคัญๆเช่นคู่แข่งหรือกลยุทธ์การตลาดนั้นสำคัญอย่างมากครับ แต่ถ้าคุณได้แม้แต่ 1% ของตลาดนี้ คุณก็จะรับไปเลย 8,000,000 บาทต่อปี

การคิดเรื่องขนาดของตลาดก่อนเริ่มธุรกิจใหม่เป็นวินัยที่ดี เพราะเราจะคำนวณราคาและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเราสร้างวิสัยทัศน์ (Vision) ทางธุรกิจในระยะยาวได้อีกด้วย ซึ่งถ้าคุณจริงจังหน่อยก็เอาไปตั้งเป็นตัวชี้วัดผลการทำงานของธุรกิจ (KPI – Key Performance Indicator) ก็ได้ครับ

หรือคุณไม่อยากรู้ว่าธุรกิจของคุณจะโตไปได้มากแค่ไหน?

6 ขั้นตอนการสัมภาษณ์ลูกค้าอย่างรวดเร็ว

อย่างที่ได้อธิบายไปในบทความที่แล้ว การสำภาษณ์ลูกค้ามีประโยชน์เพราะเราสามารถรู้ถึงปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาของลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราสามารถนำมามาพัฒนา ‘วิธีแก้ปัญหาให้ลูกค้า’ หรือก็คือไอเดียธุรกิจแบบใหม่ของเรานั่นเอง

เนื่องจากว่าเราต้องการ ‘พิสูจน์ความต้องการ’ ของลูกค้าอย่างรวดเร็ว เราก็จะข้ามขั้นตอนหลายๆอย่างเช่น การสร้างตัวตนสมมุติลูกค้า (Customer Persona) หรือ การหามาสำภาษณ์อย่างละเอียดไปก่อนเพราะขั้นตอนพวกนี้เราสามารถแวะกลับมาทำใหม่ได้หากเราพอใจในคำตอบที่ได้จากการ ‘สำภาษณ์ลูกค้าอย่างรวดเร็ว’ แล้ว

  • ขั้นตอนที่ 1 – เลือกคนสำภาษณ์ เราสามารถเลือกได้จากกลุ่มลูกค้าต่อไปนี้ครับ
    • กลุ่มลูกค้าที่น่าจะเป็นไปได้ ลูกค้าพวกนี้คือคนที่คุณอยากจะช่วยเขาแก้ปัญหาครับ เราต้องเข้าใจปัญหาของลูกค้าและวิธีที่เขาใช้ในการแก้ปัญหา  
    • ลูกค้าคนกลาง หากสินค้าของคุณต้องขายผ่าน ‘คนกลาง’ หรือ ‘ตัวแทน’ ทั้งหลาย เราก็ต้องคุยกับกลุ่มคนพวกนี้เพื่อที่จะเข้าใจมุมมองของเขาต่อลูกค้าและสินค้าของคุณ
    • ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย หากสินค้าของคุณอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อน การคุยกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็จะช่วยให้คุณเข้าใจถึง นโยบายภาครัฐ พันธมิตรระหว่างบริษัท คู่แข่งใหญ่ในตลาด หรือตัวแปลอื่นที่จะตัดสินว่าธุรกิจคุณจะรอดหรือไม่รอด
  • ขั้นตอนที่ 2 – การหาคนมาสำภาษณ์ ส่วนมากวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือถามเพื่อนหรือเพื่อนของเพื่อน หรือคุณจะลองหาคนตามเพจเฟสบุ๊คหรือเวปไซต์ทั่วไปอื่นๆก็ได้ครับ
  • ขั้นตอนที่ 3 – การเตรียมคำถามล่วงหน้า ถามคำถามทุกคนให้เหมือนกันหรืออย่างน้อยก็คล้ายๆกัน คำถามที่แนะนำคือ
    • ถามเกี่ยวกับตัวคนสำภาษณ์ ให้คนสำภาษณ์พูดเรื่องของตัวเองซักพักก่อนครับ เพื่อให้เขารู้สึกไม่เกร็งและสร้างบริบทให้คุณในการสำภาษณ์
    • ถามเกี่ยวกับปัญหาที่คุณอยากจะแก้ แนะนำให้ถามคำถามแนวเปิดกว้างเพื่อที่คุณจะได้รับคำตอบที่มีรายละเอียดเยอะครับ ให้คนสำภาษณ์อธิบายปัญหาของเราในคำพูดของเขาเองเช่น ‘สิ่งที่รบกวนใจคุณมากที่สุดในการ [ปัญหา] ของคุณคืออะไร’ ‘ถ้าคุณแก้ปัญหาอะไรก็ได้เกี่ยวกับ [ปัญหา] คุณอยากจะแก้อะไร’ ‘อธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ครั้งล่าสุดที่คุณ [ปัญหา] คุณรู้สึกรำคาญใจกับส่วนไหนบ้าง’
    • ถามเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาของเขาตอนนี้ ‘ปัจจุบันนี้ คุณแก้ปัญหานี้ยังไง’ ‘คุณพอใจและไม่พอใจอะไรในวิธีแก้ปัญหานี้ของคุณ’ ‘คุณเคยลองใช้วิธีอื่นมั้ย’ ‘คุณเคยลองหาวิธีแก้ปัญหาวิธีอื่นมั้ย’
    • และหลักจากถามทุกอย่างแล้ว…ถามเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาที่คุณอยากเสนอ ให้คุณลองนำเสนอไอเดียของคุณดูและให้คนสำภาษณ์ถามคำถามกลับ พยายามอย่าให้ฟังดูเหมือนคุณกำลัง ‘ขายของ’ นะครับ
  • ขั้นตอนที่ 4 – การสำภาษณ์อย่างระวัง ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดให้ดีและพยายามที่จะไม่พูดแทรกเยอะ การถามคำถามแนวเปิดกว้างจะได้ผลดีกว่าครับ เช่น ‘แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ’ ‘แล้วคุณทำยังไงต่อ’
  • ขั้นตอนที่ 5 – การจดผลลัพธ์การสำภาษณ์ ถ้าไม่รีบจดคุณจะลืมข้อมูลสำคัญนะครับ
  • ขั้นตอนที่ 6 – การแปลผลลัพธ์ นำผลลัพธ์ทั้งหมดมารวมกันและหาสิ่งสำคัญที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ทัศนคติ การกระทำ หรือ พฤติกรรมต่างๆครับ

จบแล้วครับหกขั้นตอนการสำภาษณ์ลูกค้าอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการคัดไอเดียธุรกิจของคุณว่ามันดีพอหรือยัง

หลังจากเรามีไอเดีย และได้พิสูจน์ตลาดแล้ว ต่อไปเราดูวิธีสร้างโมเดลธุรกิจกัน

การทำโมเดลธุรกิจเพื่อการเริ่มต้นที่ดี

แผนทำธุรกิจและโมเดลธุรกิจมีไว้อธิบายตัวตนของบริษัทคุณ แต่มันจะต้องถูกพัฒนาไปเรื่อยๆ

แต่การทำธุรกิจไม่เหมือนการทำรายงานส่งคุณครู คุณไม่จำเป็นต้องเขียนหนังสือ 40 หน้าอะไรแบบนั้น

แผนธุรกิจของคุณควรจะมี

  • หน้าสรุป 1-2 หน้าที่อธิบายภาพรวมทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจคุณ เวลามีปัญหาให้คุณแวะกลับดูภาพรวมที่หน้าสรุปเพื่อหาจุดยืนของธุรกิจคุณ
  • แผนธุรกิจ ธุรกิจคุณเป็นแบบไหน อยู่ในอุตสาหกรรมอะไร และคุณอยากจะให้มันโตไปในทิศทางไหน
  • แผนการตลาด ใครคือลูกค้าและตลาดของคุณ ช่วงแรกคุณควรจะขายใคร พอโตไปแล้วจะเข้าไปในตลาดไหนอีก ที่สำคัญที่สุดคือคุณจะใช้วิธีอะไร
  • วิเคราะห์คู่แข่ง จุดอ่อนและจุดแข็งของคู่แข่งคุณคืออะไร อะไรทำให้คุณแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ
  • แผนระบบทำงาน ในหนึ่งวันธุรกิจของคุณต้องทำอะไรบ้าง
  • แผนการเงิน คุณจะหาทุนมาจากไหน ต้องใช้เงินเมื่อไร ค่าใช้จ่ายสำคัญมีอะไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมคิดเรื่องเงินหมุนด้วย

การเงินและการหาทุนสำหรับธุรกิจใหม่

ธุรกิจต้องมีการลงทุน แต่คุณจะหาทุนมาจากไหนกันดี คุณมีเงินเก็บมากพอแล้วหรือปล่าวหรือต้องกู้เงินเพิ่ม และถ้าคุณต้องออกจากงานเพื่อธุรกิจนี้ คุณจะอยู่โดยที่บริษัทไม่มีกำไรได้นานแค่ไหน  

ธุรกิจส่วนมากเจ๊งก่อนที่จะสร้างกำไรได้เพราะมีเงินไม่มากพอ หากเป็นไปได้คุณควรประเมินค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ให้เยอะไว้ก่อน เพราะธุรกิจส่วนมากต้องทนอยู่ให้ได้หลายเดือนก่อนที่จะมีเงินหมุนมากพอ และเวลาตอนที่คุณทำธุรกิจจริงก็ให้พยายามประหยัดเงินเข้าไว้ ซื้อแต่ของที่จำเป็นและไม่ต้องอะไรใหม่หรือแฟนซีมากเกินที่ต้องใช้

ผมคิดว่าในช่วงแรก คุณควรจะมีเงินเก็บพอที่จะอยู่ได้โดยไม่มีรายได้ 5-6 เดือน และควรลงทุนกับอะไรที่ให้ผลในระยะสั้นกว่าหนึ่งปีเท่านั้น การลงทุนที่ยาวกว่านั้นอาจจะทำให้คุณมีปัญหาด้านเงินหมุนทีหลัง

ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทคุณมีพนักงานแค่สองคน คุณไม่ควรหาออฟฟิศที่จุคนได้ 20 คนตั้งแต่วันแรก ค่อยๆขยายในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ‘ความหรู’ ควรจะมาหลังจากที่คุณอยู่ได้เสถียรแล้ว

หากคุณต้องการทุนเพิ่ม การกู้ธนาคารก็เป็นจุดเริ่มที่ดี แต่อาจจะขอกู้ยากหน่อย หากคุณไม่สามารถขอเงินกู้จากธนาคารได้ ให้ลองหาเงินลงทุนจะสมาคมธุรกิจขนาดเล็กต่างๆเป็นต้น

หากธุรกิจคุณเป็นธุรกิจแนว Startup ที่อาจจะไม่กำไรในระยะเวลานาน คุณต้องหาคนลงทุนในบริษัทคุณให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการหา Angel Investor, Venture Capital หรือการระดมทุนธุรกิจแบบ Crowdfunding ก็ตาม

สินค้าและบริการ สำหรับการเริ่มธุรกิจของคุณ

คู่ค้าทางธุรกิจ

ธุรกิจของคุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นบริษัทของคุณไม่ควรจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนเริ่ม เพราะฉะนั้นคุณต้องมีคู่ค้าทางธุรกิจและซัพพลายเออร์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบโทรศัพท์ การซื้อโปรแกรมทรัพยากรบุคคล ก็ตาม

หากคุณทำธุรกิจ B2B หรือธุรกิจที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือมากเป็นพิเศษ คุณต้องเลือกคู่ค้าทางธุรกิจให้ดีเพราะบริษัทพวกนี้จะได้ข้อมูลบางส่วนของธุรกิจของคุณไป คุณควรจะดูว่าบริษัทพวกนี้มีประสบการณ์มากแค่ไหน ทำงานยังไงกับลูกค้าเจ้าอื่น และช่วยให้ลูกค้าพวกนั้นโตได้หรือเปล่า

คุณควรหาสินค้ามาจากไหน

ขั้นตอนนี้คือช่วงที่คุณจะทำไอเดียของคุณ ‘ให้เป็นความจริง’ แต่มันต้องใช้ความรู้เฉพาะเยอะมากด้วย

หากคุณอยากขายโปรแกรม คุณก็ต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ หากคุณอยากจะผลิตสินค้า คุณอาจจะต้องหาโรงงานหรือไม่ก็ลงทุนสร้างโรงงานเอง  หรือต่อให้คุณทำธุรกิจบริการ คุณก็ต้องหาคนที่มีความรู้หรือความสามารถเฉพาะทาง

หากคุณมีทุนไม่เยอะ ในช่วงแรกคุณไม่ควรที่จะซื้อสินค้าจำนวนเยอะเกินไป (เพื่อหวังส่วนลดตามจำนวน) เพราะมันจะทำให้เงินหมุนคุณน้อยลง

คุณควรจะโฟกัสสองอย่างเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการชุดแรกของคุณ นั้นก็คือความเรียบง่าย และคุณภาพ บางทีคุณอาจจะไม่อยากจะรับสินค้าที่ถูกที่สุดในตลาดเข้ามาขายก็ได้

ทำเลก็คือสินค้าอย่างหนึ่ง

หากสินค้าหรือบริการของคุณต้องอาศัยหน้าร้าน คุณอาจจะต้องพิจารณาสิบอย่างนี้

  • ระบบทำงานของคุณ ทำเลต้องเหมาะกับวิธีทำงานและระบบของคุณ
  • ลูกค้าของคุณ คุณต้องอยู่ใกล้ลูกค้าหรือเปล่า หากธุรกิจของคุณขายแค่เฉพาะบางพื้นที่ ทำเลสำคัญมาก
  • ลูกค้าหน้าร้าน ถ้าธุรกิจคุณทำรายได้จากลูกค้าหน้าร้าน คุณต้องทำให้ลูกค้าเข้าหาร้านคุณได้ง่าย
  •  ที่จอดรถและการเดินทาง ร้านคุณมีที่จอดรถไหม ถ้าลูกค้าไม่มาร้านคุณเพราะหาที่จอดรถไม่ได้ คุณจะโอเคหรือเปล่า
  • คู่แข่ง การมีคู่แข่งอยู่ใกล้ตัวไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องดีตลอดด้วย ถ้าคุณทำแผนธุรกิจมาดี ส่วนนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา
  • ธุรกิจอื่นที่อยู่ใกล้คุณ ธุรกิจอื่นใกล้ตัวคุณจะช่วยเกื้อหนุนธุรกิจของคุณได้ หากคุณขายปากกาดินสอ คุณอาจจะอยากเปิดใกล้โรงเรียน
  • ภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์ของทำเลก็สำคัญเพราะมันจะสื่อถึงภาพลักษณ์ของบริษัทคุณด้วย
  • กฎหมาย หากคุณขายสินค้าบางชนิดหรือเปิดโรงงาน คุณต้องดูกฎหมายตามพื้นที่ด้วย
  • โครงสร้างตึก ถ้าบริษัทคุณต้องเปิดคอมตลอด 24 ชั่วโมงหรือต้องใช้ไฟฉุกเฉิน คุณต้องหาตึกที่มีการบริการด้านนี้
  • ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่าย ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น

หาลูกค้าคนแรก

ไม่ว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะดีแค่ไหน ถ้าคุณขายไม่ได้ก็คงไปไม่รอด เพราะฉะนั้นสิ่งต่อไปที่คุณต้องดูก็คือรายได้และยอดขาย

การขายมีหลายวิธีและหลายเทคนิค แต่คุณควรจะเริ่มจากการทำสี่อย่างนี้

  • ฟังลูกค้า หากคุณฟังลูกค้า คุณจะรู้ว่าเค้าอยากได้อะไร และสามารถทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงได้
  • ให้ลูกค้าสัญญา แต่อย่าบังคับลูกค้า คุณต้องไม่อายที่จะขอให้ลูกค้าซื้อหรือผูกมัด แต่ก็ไม่ควรอย่าให้ลูกค้าคิดว่าคุณจะบังคับเค้าเช่นกัน
  • อย่ากลัวโดนปฏิเสธ ลูกค้าส่วนมากไม่อยากหักหน้าคนขาย และจะปล่อยให้คุณอธิบายข้อมูลสินค้าให้ฟังทั้งๆที่เค้าไม่ได้อยากจะซื้อด้วยซ้ำ หากคุณสนใจวิธีการดูลูกค้า สามารถดูบทความของผมเรื่อง เหตุผลสำคัญที่ลูกค้าเข้ามาถามแล้วไม่ซื้อ
  • การขายคือเรื่องสำคัญที่สุด ธุรกิจอยู่รอดได้ด้วยกำไรจากรายได้ ในช่วงที่คุณยังไม่มีลูกค้าคงไม่มีอะไรสำคัญเท่าการขายแล้ว

เริ่มขยายธุรกิจด้วยการแก้ปัญหาให้ถูกจุด

หลักจากผ่านจุดเริ่มต้นของธุรกิจมาแล้ว ต่อไปคุณต้องหาวิธีสร้างกำไรและทำให้ธุรกิจของคุณอยู่ตัว เพราะธุรกิจจะต้องโตเรื่อยๆ การบริหารธุรกิจในช่วงขยายตัวและยังไม่ทำกำไรคือช่วงที่ยากที่สุด

การร่วมงานกับบริษัทอื่นเป็นวิธีขยายบริษัทที่ดี โดยเฉพาะถ้าบริษัทพวกนั้นมีชื่อเสียงมากพอในกลุ่มตลาดของคุณ คุณต้องพยายามติดต่อบริษัทอื่นหรือแม้แต่ผู้ทรงอิทธิพลต่างๆ (influencer) ในอุตสาหกรรม และหาวิธีทำโปรโมชั่นหรือทำงานร่วมกันให้ได้ การสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือคือสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงแรก

เพื่อที่จะขยายบริษัทและระบบทำงานของธุรกิจคุณ การสร้างมาตรฐานและลำดับในการทำงานสำคัญมาก มาตรฐานและลำดับการทำงานจะช่วยคุณประหยัดเวลาในการสั่งงานลูกค้า และเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทคุณในสายตาลูกค้าด้วย หากคุณไม่มีมาตรฐานและลำดับ คุณจะต้องสั่งงานเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาทุกวันครับ

มันคงไม่มีแผนที่สมบรูณ์แบบที่สุดสำหรับที่ธุรกิจของคุณกำลังโต คุณต้องสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลายอย่างและบริหารธุรกิจของคุณพร้อมกันไปด้วย ธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของคุณ

มีคนเคยพูดว่าไม่มีแผนอะไรสำคัญเท่าการปรับตัว ต่อให้คุณมีแผนดีแค่ไหน ถ้ามีอะไรเปลี่ยนหรือผิดแผนขึ้นมาคุณจะพยุงธุรกิจของคุณไปต่อได้หรือเปล่า ในฐานะเจ้าของกิจการ คุณค่าของคุณอยู่ที่ความสามารถในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาให้ลูกค้าด้วยสินค้าหรือบริการ หรือการแก้ปัญหาในธุรกิจของคุณเอง

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด