4 ข้อแตกต่างหลักระหว่างโฆษณา TikTok และ Facebook

4 ข้อแตกต่างหลักระหว่างโฆษณา TikTok และ Facebook

ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือ Instagram เริ่มถึงจุดอิ่มตัว จนเริ่มไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้รุ่นใหม่ๆอย่าง Gen Z ที่ต้องการความจริงใจ เป็นกันเอง และความบันเทิงแบบที่สามารถเสพย์ได้อย่างรวดเร็ว

TikTok จึงถือกำเนิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยถือเป็นแอพพลิเคชั่นน้องใหม่มาแรงที่เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี และมีผู้ใช้ต่อเดือนมากถึง 800 ล้านคน โดยเฉลี่ยแต่ละคนจะเปิดดูแอพพลิเคชั่น 8 ครั้งต่อวัน รวมแล้วใช้เวลามากถึง 52 นาทีต่อวันบนแพลตฟอร์ม

ทำให้ TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มที่หลากหลายแบรนด์ล้วนจับตามอง เพราะมีฟังก์ชั่นในการยิงโฆษณาคล้ายกับ Facebook และ Instagram ที่น่าจะมัดใจกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้

แล้วแบรนด์ของคุณล่ะ มองการยิงโฆษณาใน TikTok ว่าเป็นยังไงบ้างครับ หากยังไม่แน่ใจว่าคุณควรยิงโฆษณาบน TikTok หรือไม่ งั้นเราลองมาดูความแตกต่างระหว่างการยิงโฆษณาบน TikTok และ Facebook กันดีกว่าครับ

4 ข้อแตกต่างหลักระหว่างโฆษณา TikTok และ Facebook

กลุ่มเป้าหมายและสินค้าที่ขายสำหรับ TikTok และ Facebook

กลุ่มเป้าหมายของ Facebook

หากธุรกิจของคุณทำการตลาดออนไลน์อยู่แล้ว ก็คงคุ้นเคยกับการยิงโฆษณาบน Facebook เป็นอย่างดี เพราะโฆษณาบน Facebook สามารถสร้างผลลัพธ์ให้แก่ธุรกิจของคุณได้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นสินค้า ชิ้นเล็กๆ หลักร้อย ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่หลักล้าน

นั่นก็เป็นเพราะ Facebook มีฐานผู้ใช้อย่างเหนียวแน่นทั่วโลกมานานนับ 10 ปี ในทุกอายุ เพศ อาชีพ และความสนใจ ทำให้คุณสามารถยิงโฆษณาโดย target หาลูกค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้เลยทันที

กลุ่มเป้าหมายของ TikTok

หากคุณเป็นผู้ให้บริการแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) หรือเป็นผู้รับเหมาสร้างบ้าน ผมบอกได้เลยครับว่า ณ ขณะนี้ TikTok อาจยังไม่ใช่พื้นที่โฆษณาที่เหมาะสำหรับธุรกิจคุณ

แต่ถ้าคุณขายสินค้าจำพวกเครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า แกตเจ็ตมือถือ หรือสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานและสามารถตัดสินใจซื้อและรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง การยิงโฆษณาบน TikTok ก็จะช่วยเพิ่มยอดขายอย่างได้ผล

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าผู้ใช้ TikTok ในปัจจุบันล้วนแต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย โดยเฉพาะในกลุ่มคน Gen Z อายุ 18-24 ปีที่ยังมีกำลังซื้อไม่มาก แต่จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโลกโซเชียลมีเดียในอนาคตอันใกล้นั่นเองครับ

แต่สำหรับสินค้าราคาแพง TikTok อาจยังไม่ใช่ช่องทางการจบการขายที่ดีผ่านการโฆษณา เพราะผู้ใช้จะมีพฤติกรรมการดูคลิปวีดีโอแล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หากสินค้าตัวใดมีราคาสูงและทำให้ต้องตัดสินใจนาน ก็จะไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้นี้

แม้จะเป็นเช่นนี้ คุณก็ยังสามารถใช้แพลตฟอร์มโฆษณานี้ในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ราคาแพงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากในปัจจุบันค่าโฆษณาบน TikTok ถือว่าถูกเอามากๆ แต่กลับเข้าถึงคนดูได้มากกว่า Facebook หลายเท่าครับ

รูปแบบการทำโฆษณาของ TikTok และ Facebook

รูปแบบการทำโฆษณาของ Facebook

ด้วยลักษณะแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างเป็นอิสระไม่ได้ยึดติดอยู่กับสื่อรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง Facebook จึงได้พัฒนาการยิงโฆษณาที่ทำได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยรูปภาพ อัลบั้ม วีดีโอ Carousel, Canvas และ Catalog สินค้า ทำให้คุณสามารถเลือกรูปแบบของโฆษณาที่เหมาะสมกับสินค้าของคุณได้ง่ายดาย

และเช่นเดียวกันกับสื่อแบบ Mass Media บนโลกออฟไลน์ ยิ่งคุณทำโฆษณาบน Facebook ให้ดูเป็นมืออาชีพเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งสนใจโฆษณาโดยไม่เลื่อนฟีดผ่านไป และยิ่งเชื่อถือในแบรนด์ของคุณมากขึ้นเท่านั้น การถ่ายรูปหรือผลิตวีดีโอที่ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อให้สื่อโฆษณาออกมาดูดีที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถเพิ่มยอดขายผ่านโฆษณาบน Facebook ได้

รูปแบบการทำโฆษณาของ TikTok 

คุณสามารถลงโฆษณาบน TikTok ได้เพียงรูปแบบเดียวนั่นก็คือคลิปวีดีโอ อันเป็นคอนเทนต์หลักของแพลตฟอร์มนี้ โดยจะแสดงผลเป็นรูปแบบเต็มจอและจะไม่สามารถปิดเสียงได้

โดยวีดีโอโฆษณามีความยาวได้มากที่สุด 1 นาที แต่จะได้ผลดีที่สุดเมื่อวีดีโอมีความยาวประมาณ 30-45 วินาที โดยยิ่งผู้ใช้ดูวีดีโอโฆษณาของคุณนานก็แปลว่ายิ่งสนใจโฆษณานั้นมาก

แต่ใช่ว่าคุณจะสามารถลงวีดีโอแบบใดก็ได้นะครับ เพราะผู้ใช้ TikTok ไม่อยากจะให้ประสบการณ์บน แอพของตนดูปลอมหรือถูกปั้นแต่งมาอย่างตั้งใจ อย่างที่สามารถเห็นได้บน Instagram, Pinterest หรือ Facebook หากผู้ใช้โฆษณาเจอคอนเทนต์แบบนี้ก็จะเลื่อนหนีทันที

รูปแบบวีดีโอโฆษณาที่ผู้ใช้มักสนใจ จะเป็นคอนเทนต์ที่ทำขึ้นเองไม่ลอกใคร ดูไม่เป็นทางการ และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ รวมถึงเป็นคอนเทนต์ที่ดูเหมือน organic post มากกว่าจะเป็นโฆษณา เพราะผู้ใช้จะดูวีดีโอของคุณจนเพลิน กว่าจะรู้ว่าเป็นโฆษณาก็ปาไปหลายวินาทีแล้ว

ผมแนะนำให้คุณถ่ายคลิปวีดีโอสำหรับโฆษณาโดยใช้มือถือง่ายๆนี่ล่ะครับ ถึงจะดูสมจริง จริงใจ และเป็นสิ่งที่ผู้ใช้อยากเห็น

ส่วนเนื้อหาคอนเทนต์ ก็ควรเป็นประหนึ่งว่าคุณกำลังแนะนำสินค้าให้กับคนดูแบบเพื่อนบอกต่อ และแนะนำสินค้าเพราะคุณชอบมันจริงๆ ไม่ใช่แนะนำสินค้าเพราะคุณอยากจะขาย โดยจะลองเอาสินค้าของคุณไปเปรียบเทียบกับสินค้าคู่แข่ง โชว์ให้เห็นกันจะๆว่าของใครดีกว่าก็ทำได้เช่นกันครับ

การยิงโฆษณาบน TikTok สิ่งสำคัญก็คือคุณจะต้องหาวิธีทำให้คนหยุดดูโฆษณาของคุณในช่วงวินาทีแรกๆได้ เช่นอาจจะมีการเคลื่อนไหวหรือองค์ประกอบบางอย่างที่ทำให้คนดูอยากติดตามต่อ เป็นต้น

อีกเคล็ดลับหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถยิงโฆษณาได้แบบไม่สูญเปล่าก็คือการทดลองสร้างคอนเทนต์บน TikTok ในรูปแบบ organic post ก่อนซัก 10-15 โพสต์ แล้วลองดูว่ามีวีดีโอตัวไหนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ก็ให้ดาวน์โหลดวีดีโอตัวนั้นแบบไม่มีลายน้ำแล้วอัพโหลดขึ้นไปใหม่ในรูปแบบโฆษณาครับ

ต้นทุนโฆษณาของ TikTok และ Facebook

ต้นทุนโฆษณาของ Facebook

เนื่องจาก Facebook ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างผูกขาดบนโลกโซเชียลมีเดีย เพราะมีฐานข้อมูลลูกค้ามากกว่าแพลตฟอร์มอื่นใด ทำให้คู่แข่งที่ยิงโฆษณาบน Facebook มีเพิ่มขึ้นทุกปี พื้นที่การมองเห็นโฆษณาจึงน้อยลงทุกปีด้วย หากคุณมีต้นทุนไม่พอที่จะผลิตโฆษณาระดับมืออาชีพ ก็ยากที่คุณจะยิงโฆษณาในราคาถูกและมีประสิทธิภาพได้

ต้นทุนโฆษณาของ TikTok

การยิงโฆษณาบน TikTok เรียกได้ว่ามีต้นทุนถูกสุดๆ โดยคุณสามารถลงโฆษณาได้ด้วยตัวเองไม่ต้องผ่านเอเจนซี่ เริ่มต้นที่วันละประมาณ 200 บาทเท่านั้น

ในระบบการจ่ายเงินของ TikTok จะเป็นแบบเติมเงิน (Pre-paid) เข้าไปก่อน แล้วยิงโฆษณาตามเงินในกระเป๋าที่มี หมดก็เติมใหม่เรื่อยๆ ไม่เหมือนกับ Facebook ที่เป็นแบบใช้เท่าไหร่ก็จ่ายไปเท่านั้นในภายหลัง หรือที่เรียกว่าแบบ Post-paid

เว็บไซต์ Jungletopp ได้ทดลองยิงโฆษณาเปรียบเทียบกันระหว่าง TikTok และ Facebook ผลปรากฎว่า โฆษณาบน Facebook และ Instagram ใช้เงินไปทั้งหมดประมาณ 30,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้ยอดการมองเห็นประมาณ 4,700,000 impressions

แต่เมื่อลงเงินไปกับโฆษณาบน TIkTok ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ กลับได้ยอดการมองเห็นมากถึง 11 ล้าน impressions และยังไม่นับรวมมาตรวัดอื่นๆทั้ง Cost per Click (CPC) และ Cost per Impression (CPM) ที่ล้วนมีราคาถูกกว่าบน TikTok เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้นทุนค่าโฆษณาบน TikTok ก็จะขึ้นกับ performance ของคอนเทนต์นั้นๆเองด้วย เช่น ถ้าคุณเอาโพสต์ไวรัลมาทำเป็นโฆษณา ค่าโฆษณาก็จะถูกมาก แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นและใช้วีดีโอโนเนมมายิงโฆษณา ก็มีสิทธิ์ที่คุณจะต้องจ่ายค่าโฆษณามากกว่าครับ

ด้วยความที่ TikTok มีค่ายิงโฆษณาถูกแบบนี้ หากธุรกิจคุณไปได้กับแพลตฟอร์มนี้ก็ควรจะลองยิงโฆษณาดูตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ เพราะผมเห็นว่าการลดราคาค่าโฆษณาให้ถูก เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยดึงดูดแบรนด์และธุรกิจต่างๆให้หันมาใช้บริการโฆษณาบน TikTok มากขึ้น ซึ่งมีโอกาสที่ค่าโฆษณาอาจจะขึ้นสูงกว่านี้ได้เมื่อแพลตฟอร์มเป็นที่นิยมมากขึ้นครับ

ระบบหลังบ้านของ TikTok และ Facebook

ระบบหลังบ้านของ Facebook

ระบบหลังบ้านของโฆษณาบน Facebook เรียกได้ว่าครบวงจร มีจุดประสงค์การโฆษณาให้เลือกหลากหลายทั้งการโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดไลค์ให้เพจ, การเพิ่มยอด Reach, การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Awareness), การเพิ่ม Engagement, Link Clicks, ไปจนถึงการปิดการขายได้สำเร็จ (Conversions) ซึ่งฟังก์ชั่นเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อได้กับทั้งบัญชีเพจและเว็บไซต์ภายนอกแพลตฟอร์มของแบรนด์

โดยคุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะยิงโฆษณาได้แบบละเอียด ทั้งข้อมูลประชากรทั่วไป เพศอายุ สถานที่ และความสนใจในแบบละเอียด

นอกจากนี้ คุณยังสามารถทำ Retargeting อันเป็นการยิงโฆษณาให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์แล้ว อันมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์เรามากกว่าคนที่เห็นโฆษณาทั่วไป โดยสามารถสร้าง Custom Audiences ได้ทั้งคนที่เคยมี engagement กับแบรนด์, คนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแบรนด์โดยใช้ Facebook Pixel เข้าช่วย, คนที่ดูวีดีโอเกิน 3 วินาทีและ 10 วินาที รวมไปถึงยังสามารถตั้งกลุ่มเป้าหมายแบบ Lookalike ที่ขยายกลุ่มเป้าหมายที่คุณมีแต่เดิมให้ใหญ่มากขึ้นอีกด้วยครับ

ระบบหลังบ้านของ TikTok

ระบบหลังบ้านของโฆษณาบนติ๊กต๊อกค่อนข้างแตกต่างจากหลังบ้านของ Facebook เป็นอย่างมาก เพราะบัญชีปกติของแบรนด์จะแยกออกจากบัญชีโฆษณาโดยสิ้นเชิงและไม่มีส่วนใดที่สัมพันธ์กัน นั่นหมายความว่าถ้าหากผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาบน TikTok ของคุณ เขาจะไม่สามารถไป follow บัญชีโฆษณาของคุณได้ เมื่อยิงโฆษณาออกไปก็คือจบ และยอดวิวโฆษณาที่ได้ก็จะไม่ถูกเซฟเก็บไว้แต่อย่างใด

คุณสามารถสร้างบัญชีโฆษณาบน TikTok ได้บนหน้า Salepage โดยบนฟังก์ชันโฆษณาของติ๊กต๊อกก็ไม่ได้มีจุดประสงค์การโฆษณาให้เลือกเยอะเท่า Facebook แต่จะมี Call to Action ต่างๆที่สามารถทำได้ เช่น Download, Shop Now, Contact Us, Subscribe, Order Now, และ Learn More

ซึ่ง Call to Action เหล่านี้ก็จะเชื่อมต่อเข้ากับข้อมูลติดต่อภายนอกของแบรนด์ทั้งหมด เช่น Line, เว็บไซต์, เบอร์โทร, หรือ Messenger ไม่มีการลิงค์กลับมาที่บัญชีปกติของแบรนด์แต่อย่างใด ระบบโฆษณาของ TikTok นั้น เน้นการขายให้ตรง ขายให้ไว ไม่ค่อยมีการอ้อมค้อมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์หรือการรับรู้ อย่างที่ระบบโฆษณาของ Facebook ทำได้

รวมถึงระบบการเลือกกลุ่มเป้าหมายเพื่อยิงโฆษณาใน TikTok ก็ยังไม่ได้มีการพัฒนาให้ซับซ้อนและครอบคลุมเท่ากับของ Facebook อย่างเช่นฟังก์ชั่นการตีกรอบ Location ก็ทำได้ลึกที่สุดเพียงระดับจังหวัด ในขณะที่ Facebook สามารถตีกรอบลึกได้ถึงรัศมี 1 ไมล์

อีกทั้งในการทำ Retargeting เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่สนใจจะซื้อสินค้าได้ลึกขึ้นก็ยังอยู่ในชั้นเบสิค โดยทำได้เพียงการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เคยดูวีดีโอของเรา รวมไปถึงเลือกได้ว่าผู้ใช้ดูวีดีโอนานเท่าไหร่ เช่น 2 วินาทีหรือ 7 วินาที รวมไปถึงคนที่ดูวีดีโอจนจบและผู้ที่เข้ามาคอมเม้นในวีดีโอ

นอกจากนี้ TikTok แม้จะใช้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจากภายนอกผ่านการใช้ pixel ได้เช่นเดียวกันกับ Facebook แต่ก็ยังทำได้ดีไม่เท่าเพราะข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ส่งมาจากเว็บไซต์ภายนอกจะไม่อัพเดต หากต้องการข้อมูลที่อัพเดตก็จะต้องสร้าง audience ใหม่ทุกครั้ง

แม้ระบบหลังบ้านของ TikTok จะดูจำกัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอดนะครับ แน่นอนว่าในอนาคตเมื่อแพลตฟอร์มแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เราน่าจะได้เห็นฟังก์ชันการโฆษณาดีๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

Facebook vs. TikTok แบบไหนถึงเหมาะกับธุรกิจคุณ?

จากความแตกต่างระหว่างโฆษณาบน Facebook และ TikTok ที่ผมได้ยกมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า TikTok ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ใหม่ ยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ก็ดูมีอนาคตไกลเพราะรองรับความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีค่าโฆษณาที่ถูกและมีประสิทธิภาพเอามากๆในช่วงเริ่มต้นแบบนี้

แต่ก็ใช่ว่า Facebook จะหมดความสำคัญไปเลยทีเดียว เพราะในปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุด มีฟังก์ชันในการยิงโฆษณาดีที่สุด และมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดที่สุด

การเข้ามาของ TikTok เป็นจุดที่ทำให้หลายธุรกิจเริ่มมองเห็นว่ายุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนแปลง และการทำการตลาดแบบเดิมๆอาจใช้ไม่ได้ผลกับคนรุ่นใหม่ หลายแบรนด์อาจจำเป็นจะต้องปรับตัวให้ทันเพื่อรักษาธุรกิจเอาไว้ในอนาคต

และมีเพียงคุณเท่านั้นครับที่จะสามารถตอบได้ว่า ณ เวลานี้ ธุรกิจของคุณเหมาะกับการโฆษณารูปแบบไหนมากกว่ากัน และกลยุทธ์การตลาดควรจะปรับเปลี่ยนไปในแนวทางไหนในอนาคต ผมขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำธุรกิจที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทุกคนครับ

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด