ขายของติดเทรนด์ กับ ของมีแบรนด์ ขายอะไรดีถึงเหมาะกับเรา?

ขายของติดเทรนด์ กับ ของมีแบรนด์ ขายอะไรดีถึงเหมาะกับเรา?

ขายอะไรดีเป็นคำถามที่คนทักผมเข้ามาบ่อย ซึ่งคำถามจริงๆที่คนกำลังถามกันไม่ใช่ ‘เราควรขายอะไร’ แต่สินค้าที่เหมาะกับความชอบและทักษะของเราคืออะไรมากกว่า 

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลใช่ไหมครับ เราเห็นแม่ค้าหน้าปากซอยขายส้มตำดูขายดี แต่ถ้าเราทำส้มตำไม่เป็นเราจะไปขายได้ยังไง เช่นเดียวกันครับ หากคนอื่นขายเสื้อผ้าแฟชั่นเก่ง ขายอุปกรณ์ไอทีเก่ง ไม่ได้แปลว่าเราจะขายได้เหมือนเค้า

ขายของติดเทรนด์ กับ ของมีแบรนด์ แบบไหนเหมาะกับเรา?

คำถามที่สำคัญมากกว่าขายอะไรดีก็คือ เราจะเลือกสินค้าอะไรที่ ‘น่าจะขายดี’ และ ‘น่าจะเหมาะกับเรา’ มากที่สุด ซึ่งในวันนี้ผมจะมาแนะนำสินค้าอยู่สองประเภทก็คือสินค้าติดเทรนด์ และ สินค้ามีแบรนด์ 

ทั้งสองอย่างนี้มีวิธีขายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันเยอะมาก ซึ่งในบทความนี้ผมจะอธิบายว่าเราควรมีทักษะหรือนิสัยแบบไหนถึงจะเหมาะกับของเหล่านี้ และ ในตอนท้ายก็จะสรุปให้ฟังนะครับว่าคุณควรขายอะไรดี

สินค้าเทรนด์เหมาะกับปรับตัวเก่ง

สินค้าเทรนด์หมายถึงสินค้าที่ขายดีอยู่ช่วงหนึ่ง เราจะขายได้ดีอยู่ไม่กี่เดือนและหลังจากนั้นเราก็จะเริ่มขายได้ยาก 

ซึ่งสินค้าเทรนด์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในยุคที่ผมเริ่มทำออนไลน์ใหม่ๆ สินค้าที่ขายดีคือ powerbank หลังจากนั้นก็จะมีพวกของเล่น fidget spinner ในสามสี่ปีที่แล้วสิ่งที่ขายดีคือเข็มขัดพยุงหลัง และ อย่างตอนต้นโควิด สิ่งที่ขายดีคือหน้ากากและเจลล้างมือ

ข้อดีก็คือ สินค้าเทรนด์เป็นสินค้าที่คนต้องการเยอะมาก บางคนมีเงินเริ่มต้นแค่หลักหมื่นบาท สามารถต่อยอดเป็นหลักล้านได้เลย ข้อดีอีกอย่างคือเราไม่ต้องรู้เรื่องการตลาดมากก็ได้ อย่างที่บอกเราขายสิ่งที่คนต้องการอยู่แล้ว แค่เราเอาของไปยื่นให้คนในถูกเวลา เราก็ขายได้

ปัญหาของสินค้าเทรนด์คืออะไร เทรนด์หายากมากกก คนส่วนมากจะเข้าถึงเทรนด์ได้ก็คือตอนที่มันพีคไปแล้ว ซึ่งหากเรามาเริ่มตอนที่มันพีคไปแล้ว เราก็มีความเสี่ยงในการขายไม่ได้ สินค้าค้างสต็อก

ในการขายของเทรนด์ ‘เซ้นส์การหาของ’ และ ‘ความเร็ว’ สำคัญสุด ถ้าคุณมีเซ้นส์ดี ดูเทรนด์ออก คุณก็ชนะคนอื่นได้เยอะแล้ว หลังจากนั้นคือความเร็ว เรารีบหาของเข้ามาขาย เรารีบกระจายของออกให้เร็ว แล้วเราก็ต้องรีบไปหาของเทรนด์อื่นมาขาย ออกให้เร็วก่อนที่จะขายไม่ออก ค้างสต็อก ขาดทุน

ซึ่งหลายๆคนก็จะแนะนำเครื่องมือ Google Trends เพื่อการดูตัวเลขว่าคนค้นหาสินค้าเหล่านี้บน Google มากแค่ไหน ถ้าตอนไหนคนเริ่มค้นหาเยอะขึ้นก็คือเทรนด์กำลังมา ปัญหาคือคนส่วนมากที่ผมรู้จัก (รวมถึงผมเองด้วย) ไม่สามารถเอาเครื่องมือนี้มาทำประโยชน์ได้เลย เพราะดูทีไรก็สายไปแล้วทุกที ผมคิดว่าคงมีแค่ 1% มั้งที่เกาะเทรนด์ด้วยเครื่องมือแบบนี้ได้จริงๆ

เดี๋ยวผมขออธิบายสินค้าเบรนด์ให้ฟังก่อนนะครับ แล้วผมจะเปรียบเทียบให้ฟังว่าวิธีขายของเทรนด์กับแบรนด์ต่างกันยังไง

สินค้าแบรนด์เหมาะกับคนเก่งวางแผนและการตลาด

สินค้าแบรนด์จะต่างจากสินค้าเทรนด์ตรงที่เราต้องสร้างฐานลูกค้าก่อน พอติดตลาดแล้วสินค้าก็จะขายได้ด้วยตัวเอง ถึงมีคู่แข่งเยอะก็ไม่ต้องโดนตัดราคา

ผมได้เคยอธิบายไปแล้วว่าแบรนด์ธุรกิจจริงๆแล้วมีสองแบบ คือแบรนด์สินค้า กับ แบรนด์ร้านค้า ยกตัวอย่างก็คือ iPhone เป็นแบรนด์สินค้าของบริษัท Apple และ Lazada ก็คือแบรนด์ร้านค้าที่ขายของหลายรูปแบบ

คนส่วนมากเรียกแบรนด์โดยเอาบริษัทพวกนี้เป็นตัวอย่าง แต่จริงๆเราก็สามารถทำแบรนด์ขนาดเล็กได้ครับ อย่างแม่ค้าไลฟ์สดก็มีแบรนด์ของตัวเองในมุมมองที่ลูกค้าถูกใจ จำได้ อยากกลับมาซิ้อซ้ำ หรือแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆที่ถูกตาถูกใจลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ขนมก็มีแบรนด์ เสื้อผ้าก็มีแบรนด์ ของเล่นเด็กก็มีแบรนด์ได้

ข้อดีก็คือหากเรามีแบรนด์ เราจะขายอะไรก็ได้ครับ แถมสินค้าเราอยู่ได้นานด้วย ไม่ต้องคอยเหนื่อยหาสินค้าใหม่ๆมาขายเรื่อยๆ เราหาสินค้าตัวเดียว หรือ ร้านค้าร้านเดียว แล้วเราสามารถปั้นให้มันดีได้

แต่ข้อเสียหลักก็คือเวลา คนส่วนมากกลัวการสร้างแบรนด์เพราะบอกว่าไม่มีทุน แต่ผมมองว่าปัจจัยสำคัญคือเวลามากกว่า หากเราคุมทุนได้ เราก็จะสามารถค่อยๆสร้างแบรนด์ได้ SME ส่วนมากในอดีตก็ค่อยๆสร้างแบรนด์จนมาเป็นธุรกิจหลายร้อยล้านในทุกวันนี้ได้

ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าธุรกิจแบบสร้างแบรนด์มีความยั่งยืนดีครับ เราเริ่มเล็กๆจากการจับตลาดเฉพาะทางก่อน แล้วเราค่อยๆขยายโดยเพิ่มกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สินค้าเทรนด์กับสินค้าแบรนด์…แบบไหนดีกว่ากัน?

ทีนี้หากเราเข้าใจสินค้าเทรนด์และสินค้นที่สามารถต่อยอดสร้างแบรนด์ได้แล้ว สินค้าแบบไหนเหมาะกับเรา ซึ่งคำตอบนี้ต้องดูสองอย่างครับ ความคาดหวัง และ ทักษะของเรา

สาเหตุแรกส่วนความคาดหวังก็คือ หากเราอยากเริ่มต้นมาทำแบรนด์ขายได้ร้อยล้านพันล้าน คำถามคือเรามีงบการตลาดหรือเปล่า? มีเงินเยอะก็ดีกว่าไม่มีเงินอยู่แล้วครับ แต่ปัญหาคือถ้าเราไม่มีแล้วเราสามารถอดทนรอวันที่เราจะประสบความสำเร็จได้ไหม

ในขณะเดียวกัน ปัญหาของสินค้าเทรนด์ก็คือ เราต้องวิ่งตลอดเวลา เราต้องวิ่งในการหาของมาขาย เราต้องวิ่งให้ขายของได้เร็วก่อนตกเทรนด์ และ พอหมดเทรนด์แล้วก็ต้องวิ่งหาของใหม่มาขายอีกเพื่อทำยอด ส่วนนี้ผมมองว่าเหมาะสำหรับคนที่มีพลังเยอะ ตัดสินใจเร็ว

… ถึงจะฟังดูเหนื่อย แต่ของเทรนด์ขายได้เยอะ ได้กำไรจริงๆนะครับ 

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือทักษะในการทำตลาดและบริหารธุรกิจ ซึ่งทักษะในการทำธุรกิจมีแบรนด์กับธุรกิจติดเทรนด์นั้นจะต่างกันหลายอย่าง สิ่งที่ผมอยากเน้นคือ การสร้างแบรนด์เราต้องรู้เรื่องการตลาดมากหน่อย 

ส่วนเรื่องของทักษะการขาย การวิ่งหาช่องทางการเรื่อยๆนั้นอาจจะสำคัญธุรกิจเทรนด์มากหน่อย เพราะเราต้องทำเรื่อยๆ หาสินค้าใหม่ทีก็วิ่งหากลุ่มลูกค้าใหม่ หาช่องทางใหม่ ผมถึงบอกว่ารวยได้ เพราะงานมันเยอะ 

หากเรารู้ทักษะตัวเอง เราก็จะรู้ว่าเราเหมาะกับอะไร

ผมยังไม่เคยเจอร้านขายของติดเทนด์ที่อยู่รอดมาได้เป็น 10 ปี คิดว่าคงมีอยู่บ้างแหละ ส่วนมากก็คงเป็นพวกรวยๆแต่ว่าคนไม่ค่อยรู้จักกัน 555 แต่ผมรู้จักธุรกิจหลายธุรกิจเลยที่ขายสินค้าแบรนด์แบบสร้างแบรนด์ตัวเอง

เอาเป็นว่าใครเป็นเจ้าของธุรกิจขายของเทรนด์เมื่อ 5-7 ปีที่แล้วก็มาคอมเม้นท์บอกผมหน่อยละกันว่าทุกวันนี้คุณยังวิ่งตามเทรนด์อยู่หรือเปล่า 

สุดท้ายนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เราทำวันนี้ไม่ได้จำเป็นต้องตัดสินอนาคตของเรา หากเรายังไม่เก่งการตลาดหรือการสร้างแบรนด์มาก เราขายสินค้าเทรนด์ก็ได้ครับ บอกตามตรงครับถ้าเลือกสินค้าได้ถูกจริงๆชีวิตคุณเปลี่ยนเลย แบบเงินไม่กี่หมื่นบาทก็ต่อยอดได้แล้ว

แล้วหลังจากนั้นคุณก็ทำอะไรต่อก็ได้ เปลี่ยนไปขายสินค้าอื่นตามเทรนไปเรื่อยๆ หรือ จะค่อยๆเอาเงินสดที่ได้มาไปลงทุนสร้างธุรกิจอื่นที่ดูยั่งยืนมากกว่าก็ได้ 

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด