ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำเอาเจ้านายหรือหัวหน้างานปวดหัวไปตาม ๆ กันก็คือ ลูกน้องไม่เชื่อฟังหรือลูกน้องไม่เคารพ เพราะนอกจากจะทำให้การทำงานยากขึ้นแล้ว อาจจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาด้วย ใครกำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้ตามไปดูสาเหตุและวิธีแก้ไขปัญหานี้กันครับ
ทำไมลูกน้องไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ?
ปัญหาเรื่องลูกน้องไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง หรือไม่เข้าใจหัวหน้า มาจากต้นตอปัญหาเรื่องของการสื่อสารระหว่างทีม หากลูกน้องไม่พร้อมที่จะพูดคุยแบบตรงไปตรงมา ให้พิจารณาจากพฤติกรรมของลูกน้อง เช่นจากการใช้อารมณ์ หรือจากคำพูดในการสื่อสาร และดำเนินการแก้ไขตามความเป็นจริง
ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาโลกแตกของทุกที่ เพราะอย่าว่าแต่ในโลกธุรกิจเลย ในสังคมทั่วไปก็มีปัญหาของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่ไม่เข้าใจกันอยู่เสมออยู่แล้ว สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญกว่าในการแก้ปัญหาก็คือการดู ‘เจตนา’ ว่าการไม่เคารพและไม่เชื่อฟัง มาจากเจตนาในการต่อต้าน หรือเป็นแค่ผลเสียของการมีความคิดที่หลากหลายในองค์กร
ลองพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ดูครับ
- เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ : ไม่ว่าลูกน้องจะเสนอไอเดียอะไรมาก็ไม่เคยรับฟัง กุมอำนาจไว้ที่ตัวเองคนเดียว ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น
- ขาดความน่าเชื่อถือ :เช่น ไม่ทำตามคำพูด ไม่ตรงต่อเวลา ไม่มีความมั่นใจ บางอย่างอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีส่วนทำให้ภาพลักษณ์ของหัวหน้าจาดความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน
- ขาดการปฏิสัมพันธ์ที่ดี : มีการติดต่อกันเฉพาะเรื่องงาน ขาดการสื่อสารที่ดี ทำให้บางครั้งเกิดความเข้าใจผิดกัน หรือ
- ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล : เมื่อลูกน้องทำพลาดก็แสดงอาการโมโหหงุดหงิด รวมไปถึงใช้ถ้อยคำรุนแรงหรือหยาบคาย
- ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน : เช่น ตำหนิความผิดพลาดต่อหน้าผู้อื่น ไม่เคยฟังความคิดเห็นหรือไอเดียจากพวกเขา
- ไม่เคยใส่ใจเรื่องส่วนตัว : เพราะมุ่งแต่ทำงานให้สำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่เคยสนใจหรือเอาใจใส่ความรู้สึกของผู้ร่วมงานคนอื่นเลย
- ไม่รู้จักจุดแข็ง-จุดอ่อนของคนในทีม : ทำให้ไม่สามารถดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพหรือใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน
- ไม่เคยขอโทษหรือขอบคุณ : เช่น เมื่อสั่งงานผิดพลาดก็ไม่เคยขอโทษ ซ้ำร้ายอาจจะโยนความผิดนั้นไปให้ลูกน้อง รวมไปถึงไม่เคยรู้สึกขอบคุณผู้ร่วมงานที่ช่วยกันทำให้งานสำเร็จ
ลูกน้องไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง จะแก้อย่างไรดี ?
1. รักษาระยะห่าง
สาเหตุก็คือระหว่างคุณกับลูกน้องมีความสนิทสนมกันเกินไป เช่น รู้เรื่องส่วนตัวกันและกัน ไปสังสรรค์ด้วยกันบ่อย ๆ หลังเลิกงาน หากเจอคนที่สามารถแยกแยะระหว่างเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัวได้ก็ถือว่าโชคดีไป
แต่ถ้าหากเป็นคนที่เห็นคุณเป็นเพื่อนเล่นตลอดเวลา ควรเริ่มรักษาระยะห่างกับเขาให้มากขึ้น ลดการพูดคุยเรื่องส่วนตัวให้น้อยลง หากมีโอกาสก็ลองคุยกันตรง ๆ น่าจะเข้าใจกันมากขึ้น
2. เข้าหาคนในทีมให้มากขึ้น .
ในทางตรงกันข้ามหัวหน้าบางคนอาจจะมีระยะห่างกบลูกน้องมากเกินไป เช่น พูดคุยกันเฉพาะเรื่องงาน หรือหัวหน้าเป็นฝ่ายสั่งให้ทำตามอย่างเดียว ลองเข้าหาพวกเขาให้มากขึ้น โดยการชวนคุยเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องงานหรือแสดงความเอาใจใส่คนทำงาน เช่น ลองชวนคุยเรื่องความสนใจ ความคิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งจุดนี้อาจจะเกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปพัฒนางานได้อีกด้วย
3. มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ถือเป็นอีกหนึ่งสกิลที่คนเป็นผู้นำควรมีในยุคนี้ เพราะคนทำงานมีความรู้สึกนึกคิด บางวันอาจจะต้องจัดการงานเยอะหรือเจอปัญหามากมาย ที่ทำให้เกิดความกดดันหรือความเครียด และส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือมีความจำเป็นที่จะต้องลาด้วยเหตุผลส่วนตัว ควรถามไถ่เหตุผลที่มาที่ไป ยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา แทนการจับผิดหรือดุด่าว่ากล่าว
4. ลดบทบาทความสำคัญ
หากเจอลูกน้องอีโก้สูง ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่ง หรือสั่งงานไปแล้วไม่ค่อยทำตาม หลังจากนี้ค่อย ๆ ลดบทบาทในทีมของเขาให้น้อยลง เช่น ไม่มอบหมายงานสำคัญ ๆ หรือโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ให้ทำ แต่ให้เขารับผิดชอบงานง่าย ๆ หรืองานเล็กงานน้อยให้เขาพอมีผลงานบ้าง
5. ไม่แทรกแซงงาน
หากมอบหมายงานให้ลูกน้องทำแล้ว ก็ควรไว้ใจให้พวกเขาได้รับผิดชอบ และคุณก็คอยดูและอยู่ห่าง ๆ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ระหว่างนี้อาจจะลองถามไถ่เป็นระยะ เผื่อพวกเขากำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ
6. เปิดใจรับฟังความคิดเห็น
นอกจากนี้หัวหน้าควรเปิดใจรับฟังฟีดแบ็กในการทำงาน ปัญหา หรือความคิดเห็นของพวกเขา ไม่ยึดเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่เพียงอย่างเดียว
และหากมีการพูดคุยกัน ควรปล่อยให้พวกเขาพูดให้จบก่อน ไม่ควรพูดแทรกหรือแย้งในทันที เพราะพวกเขาอาจจะมองว่าคุณปิดกั้นหรือไม่ยอมรับฟังได้ ที่สำคัญควรแสดงความเอาใจใส่หรือห่วงใยพวกเขาจากใจจริง ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง การแสดงออก สีหน้า น้ำเสียง และคำพูด
7. ไม่ตัดสินคนอื่น
หลายครั้งอาจจะพบว่า ผู้ที่เป็นหัวหน้ามีการวิพากษ์วิจารณ์งานของลูกน้องอย่างรุนแรง และบางครั้งอาจมีการใช้คำหยาบคาบ นอกจากจะทำให้ลูกน้องไม่ฟังแล้ว อาจจะทำให้ความสัมพันธ์และบรรยากาศการทำงานแย่ลงไปด้วย .
ซึ่งอย่าลืมว่าประสบการณ์การทำงาน มุมมอง และความคิดของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน คงจะดีกว่าหากทำความรู้จักลักษณะนิสัยของคนในทีมและเข้าด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับแต่ละคน
8. ยอมรับความผิดพลาดบ้าง
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าก็ต้องการให้งานออกมาสมบูรณ์แบบ แต่อย่าลืมว่ามีหลายปัจจัยที่เกินการควบคุม บางครั้งคนในทีมก็มีการทำผิดพลาดกันบ้าง การดุด่าหรือกล่าวโทษคนรับผิดชอบอาจทำให้มุมมองที่พวกเขามีต่อเราเปลี่ยนไปและฟังเราน้อยลง
คงจะดีกว่าหากหลังจากช่วยกันแก้ไขปัญหาแล้ว ตัวหัวหน้าเองก็ควรกลับมาทบทวนด้วยเช่นกัน เช่น เราวางแผนงานมาดีหรือยัง ให้งานยากเกินไปหรือเปล่า เวลาในการทำงานน้อยเกินไปหรือไม่ พร้อมกับหาทางป้องกันไปด้วย
9. ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม
ไม่ว่าจะเป็นคนเก่า คนใหม่ หรือคนสนิท ในเวลางานก็ควรปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม และให้ความยุติธรรมกับทุกคน ไม่ลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง สามารถตักเตือนและสั่งได้ทุกคนเหมือนกัน ที่สำคัญควรปฏิบัติแบบเดียวกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่นำเรื่องส่วนตัวของลูกน้องไปพูดต่อ
10. ให้พวกเขาตัดสินใจงานเองบ้าง
ในฐานะหัวหน้าไม่ควรกุมอำนาจทั้งหมดไว้คนเดียว ควรปล่อยให้ลูกน้องหรือคนในทีมมีอำนาจในการตัดสินใจงานเองบ้าง ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะผิดหรือถูก แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นการกระทำที่ผิดพลาด ก็ควรให้กำลังใจและกันรับผิดชอบ ดีกว่าคอยคำสั่งคุณเพียงฝ่ายเดียว
11. พูดคุยด้วยเหตุผล
หลายครั้งที่ลูกน้องไม่ยอมทำตามคำสั่งเพราะไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำหรือจำเป็นต้องเปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่ ดังนั้นในการสั่งงานควรอธิบายถึงความสำคัญหรือเหตุผลที่จำเป็นต้องให้พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งด้วยจะดีกว่า
12. แสดงความเป็นผู้นำที่ดี
สาเหตุหนึ่งที่ลูกน้องไม่เชื่อฟังเพราะขาดความเชื่อมั่น เช่น เห็นว่าหัวหน้ามีประสบการณ์หรือมีอายุน้อยกว่า ดังนั้นควรให้เวลาพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมั่นในตัวเรามากขึ้น ด้วยการให้คำแนะนำที่ดี เป็นหัวหน้าที่พวกเขาเชื่อใจได้สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง
หากลูกน้องไม่ให้ความเคารพ เชื่อฟัง หรือทำตามคำสั่ง ก็ไม่ควรแสดงอาการโมโหหงุดหงิดหรือด่าทอ เพราะจะยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลง แต่จะดีกว่าหากแสดงออกอย่างเหมาะสม พร้อมลองนำวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะกับคนในทีม