วิธีเริ่มเขียนบล็อกในปี 2024 (5 อย่างที่ต้องรู้)

วิธีเริ่มเขียนบล็อก (5 อย่างที่ต้องรู้)

เขียนบล็อกในปี 2024 จะรอดไหม เขียนไปใครจะอ่าน ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์กัน

ผมเองก็ได้ทำบล็อกมาหลายปีแล้วครับ โดยรวมแล้วแต่ละปีก็มีคนเข้ามาอ่านหลักล้าน PAGEVIEW ซึ่งจริงๆผมก็ไม่ได้มีแค่ Thaiwinner.com นะครับ มีอีกหลายเว็บไซต์ที่ใช้วิธีเหมือนกันและก็หาคนเข้ามาในเว็บไซต์ได้เหมือนกัน

ยิ่งในปีที่ผ่านมา มีอะไรเปลี่ยนไปเยอะมาก ตั้งแต่การที่คนส่วนมากไปเล่นโซเชียลอื่นมากขึ้น รวมถึงการที่ Google เองก็ปรับ algorithm จนทำให้คนเข้ามาอ่านเว็บไซต์น้อยลง

โดยบทความนี้ผมก็จะเริ่มตั้งแต่ต้นเลย รวมถึง 1) เขียนบล็อกเรื่องอะไรดี 2) ลงบทความที่ไหนดี 3) รายละเอียดทางด้าน Technical ต่างๆ 4) การเลือกหัวข้อบทความ แล้วก็ 5) อนาคตของการเขียนบล็อกว่าจะไปรอดหรือไม่รอดในยุคนี้  

วิธีเริ่มเขียนบล็อกในปี 2024 (5 อย่างที่ต้องรู้)

#1 บล็อกหัวข้ออะไรดี

หัวข้อนี้ยากที่สุดแล้ว เพราะหลายคนไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรตั้งแต่แรกก็เลยไม่ได้เริ่มเขียนสักที เรื่องรายละเอียดอื่นๆถ้าเรามีไอเดียว่าจะเขียนอะไรแล้วไม่ได้ยากเท่าการเริ่มเลย

คำถามที่จะได้ยินบ่อยก็คือ บล็อกเราจะต้องเป็นแนวกว้างเขียนทุกอย่างเลยหรือเปล่า หรือจะเป็นแนวที่เจาะจงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ของผมก็จะมีเรื่องของธุรกิจ 1 หัวข้อ แล้วก็จะมีเรื่องของสัตว์เลี้ยงอยู่ในหัวข้อ (เวบไซต์ละหัวข้อ)

แต่เราก็จะเห็นว่าหลายๆบล็อกก็เขียนแนวกว้างได้ เช่นเขียนเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตทั่วไป เขียนเรื่องอะไรก็ได้ที่เราอยากเขียนถึง จริงๆแล้ว บล็อกไม่ได้มีตายตัว แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำ… ก็เขียนในหัวข้อที่เรารู้เยอะหรือว่าเราสนใจจริงๆ เราจะเขียนต่อได้ง่าย 

การเขียนเรื่องหัวข้อแคบๆก็มีข้อดีนะครับ ผู้อ่านหลายๆคนเขาก็อาจจะชอบในตัวตนเราเพราะว่ามีความสนใจคล้ายกัน ถ้าเราเขียนเรื่องกว้างมากเกินไปมันก็ยากที่จะดึงดูดแฟนคลับ แต่การที่เขียนแบบเจาะจงก็จะมีข้อเสียตรงที่ว่าเขียนไปเรื่อยๆแล้วบล็อกก็อาจจะตันนะ (ไอเดียหมด) 

ข้อแนะนำผมก็คือ (แต่ขอเน้นว่าแนะนำนะครับ ไม่ใช่ข้อบังคับ) ให้เลือกมาหัวข้อนึงก่อนซึ่งเป็นหัวข้อที่เราชอบหรือว่าเก่งด้านนี้ แล้วก็เขียนแต่หัวข้อนี้ไปก่อน ทีนี้ถ้าเราเขียนไป 50 หรือว่า 100 บทความ แล้วไอเดียตันจริงๆ เราค่อยขยายหัวข้อให้กว้างขึ้น

อย่างบล็อกของผมตอนแรกก็เริ่มที่หัวข้อการบริหาร แต่ว่าพอเริ่มหมดไอเดียแล้วก็ได้เพิ่มเรื่องของการตลาด กลยุทธ์ ตัวอย่างกรณีศึกษา

หรืออย่างบล็อกสัตว์เลี้ยง ตอนแรกก็อาจจะเริ่มที่สุนัขก่อน แต่ว่าพอหมดไอเดียแล้วก็ขยายไปทำเกี่ยวกับเรื่องของแมว การเลี้ยงสัตว์อื่นๆ 

#2 เขียนบล็อกที่ไหน

ในหัวข้อนี้เราจะพูดถึงรูปแบบการบล็อกต่างๆ สมัยนี้มีตัวเลือกเยอะครับ 1) Facebook 2) โพสต์ลง Website และ แอพต่างๆ หรือ 3) จะทำเว็บของตัวเองก็ได้ 

เราเริ่มที่ Facebook ก่อน ข้อดีก็คือเริ่มง่ายสุด แต่งภาพปก มีโลโก้ แล้วก็พิมพ์ลงได้เลย ปัญหาหลักของเราคือการเข้าถึง เพราะโพสต์ไปแล้วจะไม่ค่อยมีใครเห็นเท่าไร นอกจากนั้นการพิมพ์อย่างเดียวไม่ค่อยพอเท่าไรแล้ว ส่วนมากต้องผสมการแต่งภาพให้คนอยากดู หรือถ้าสมัยใหม่หน่อยคือทำวิดีโอ และถ้ามีงบก็ควรยิงโฆษณาด้วย

เอาเป็นว่าส่วนนี้ไปดูคู่มือการทำ Facebook Page จะดีกว่าครับ เรื่องการสร้างคอนเทนต์ไม่ต่างเท่าไร จะบล็อกหรือจะทำเพจ (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่)

ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำบนเว็บอื่นหรือจะมีเว็บของตัวเอง เราก็ต้องถามสามคำถามว่า 1) เขียนไปอยากให้ใครอ่าน 2) อยากได้รายได้มากแค่ไหน และ 3) เราอยากจะเรียนรู้วิธีทำเว็บหรือเปล่า 

ผมเป็นสายที่ชอบปรับเปลี่ยนอะไรเองก็เลยอยู่บนเว็บไซต์ ซึ่งผมก็แนะนำมากๆ แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ยากไป หรือเราไม่ได้อยากได้เงินอยู่แล้ว หรืออยากเขียนเล่นๆไม่ต้องมีคนอ่านก็ได้ ก็เลือกช่องทางที่สะดวกตัวเองสุดก็ได้ครับ 

และเพื่อทำให้หลายๆคนสามารถเข้าถึงวิธีทำเว็บไซต์ได้ ในหัวข้อต่อไปผมก็จะขอพูดเรื่องของคำศัพท์เทคนิคต่างๆในการทำเว็บไซต์ละกัน (ทำบล็อกด้วย WordPress)

#3 รายละเอียด Technical

หัวข้อนี้ก็จะรวมถึงคำศัพท์อย่าง Domain แล้วก็ Hosting ครับ แต่ละอย่างคืออะไรและต้นทุนค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง

คำศัพท์ประหลาดๆ อาจจะฟังดูน่ากลัวสำหรับมือใหม่ แต่จริงๆไม่ได้ยาก หรือถ้าคิดว่ายากจริงๆ เราไปจ้างฟรีแลนซ์ติดตั้งให้หลักพันบาทก็ทำได้เหมือนกัน แต่อยากให้ทุกคนรู้ไว้ก่อนจะได้คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง 

เรื่องแรกก็คือโดเมน Domain หรือว่าชื่อเว็บไซต์เราเช่น www.thaiwinner.com  จะเป็น .co หรือ .xyz อะไรก็แล้วแต่  ซึ่งส่วนมากเราก็สามารถซื้อสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดเมนได้ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ บางโดเมนก็ราคาถูกหลักร้อยบาทต่อปี บางอันก็เป็นหลักแสนได้ แต่ส่วนมากคนที่จะจ่ายเป็นหลักแสน หลักล้านก็คือธุรกิจขนาดใหญ่

อย่างของผมก็จะไปซื้อผ่านเว็บไซต์ namecheap หรือ godaddy ในมุมมองผม เว็บเมืองนอกเขาราคาถูกกว่านิดหน่อย ส่วนมากคนที่จะซื้อเว็บไทยก็คือคนที่อยากให้เขาออกใบกำกับภาษีให้ (ก็คือพวกองค์กรต่างๆนั่นเอง)

จริงๆเรียกว่า ‘ซื้อโดเมน’ ก็ไม่ได้ถูกสักทีเดียวนะครับ ‘ซื้อโดเมน’ เป็นแค่คำศัพท์ที่คนใช้กัน ความหมายจริงๆก็คือเราซื้อสิทธิ์ในการใช้ชื่อนี้ ซึ่งต้องจ่ายเป็นรายปี หรือว่ารายหลายปี แต่เราจะไม่ได้มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของตลอดชีวิต ต้องเติมเงินเรื่อย แต่อย่างที่บอกครับถ้าหาจริงๆราคาก็ประมาณหลักหลายร้อยบาทต่อปี

หัวข้อต่อไปก็คือ Hosting หมายถึงการทำให้เว็บไซต์เราสามารถออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในเชิงเทคนิคก็คือเราต้องไปเช่าพื้นที่คอมพิวเตอร์ของบริษัทให้เขาเปิดคอมค้างไว้ เว็บไซต์เราจะได้ออนไลน์ผ่านคอมของคนอื่น แต่ถ้าในเชิงปฏิบัติ เราก็แค่เอาเงินปีละหลัก 1,000 ถึง 3,000 บาทไปเช่าที่คอมพิวเตอร์เขา

สำหรับผมก็จะใช้ bluehost ซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ของต่างประเทศ เหมือนเขาจะมีโปรค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ  3-400 บาท สำหรับปีแรก ผมชอบเว็บไซต์ต่างประเทศเพราะว่าเขามีบริการ 24 ชั่วโมง ถ้าเว็บเราล่ม เขาก็สามารถแก้ให้เราได้เลย (เป็นไม่บ่อย ปีละไม่ถึงหนึ่งครั้ง) 

ผมไม่ได้ใช้ hosting ไทยมา 4-5 ปีแล้ว เพราะเมื่อก่อนเคยใช้แล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบ บริการไม่ดีบ้าง ช้าบ้าง 

เรื่องค่าใช้จ่าย รวมกันก็ปีละหลักไม่กี่พันนะครับ สำหรับผมเรามีวิธีสร้างรายได้ผ่านการเขียนบล็อกอยู่แล้ว ผมก็เลยไม่ได้ซีเรียสมากว่าจ่ายปีละหลักพัน เพื่อสร้างรายได้หลักหมื่น

#4 เขียนหัวข้อเรื่องอะไร

การเลือกหัวข้อ ผมอยากให้ทุกคนมองว่า ‘ถ้าเขียนไปแล้วเราจะให้ใครอ่าน’ ถ้าเราเริ่มจากว่าบล็อกเรามี Theme หลักอะไร เช่นที่ผมพูดไว้ตอนแรกว่าเกี่ยวกับธุรกิจ หรือเกี่ยวกับสุนัข หรือเกี่ยวกับการท่องเที่ยว การคิดหัวข้อก็จะเริ่มได้ง่ายกว่า

ส่วนมากที่ผมทำก็คือเขียนเพื่อ SEO (การเขียนบทความให้ไปจัดอันดับใน Google แล้วเราก็จะดึงคนเข้ามาอ่านได้ผ่านคำค้นหาต่างๆ) ในบทความนี้ผมจะไม่ได้ลงลึกเรื่อง SEO แต่ว่าถ้าอยากศึกษาลองอ่านข้อมูลตรงนี้นะครับ (วิธีเขียนบทความ SEO

ด้วยความที่ว่าผมเขียนบทความ SEO เป็นส่วนมาก บทความที่ผมเขียนก็จะเป็นแนว ‘สิ่งที่คนค้นหา’ อาจจะหมายถึงความรู้ต่างๆ How to วิธีการทำต่างๆ

แต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนมองว่าเราควรเขียนแต่เรื่อง SEO นะครับ

ในความคิดผม บทความ SEO เป็นวิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้คนเข้ามาอ่าน แต่โดยรวม แล้วถ้าเราไม่ใส่บุคลิกหรือว่า personality เราเข้าไป เราก็จะไม่มีคนมาติดตามระยะยาว อันนี้คนที่ภาษาดี เขียนได้เข้าใจง่าย หรือว่ามีความรู้เฉพาะทางก็จะได้เปรียบหน่อย

ผมอยากสอนให้ทุกคนทำเป็นระยะยาว ผมก็จะเน้นเรื่อง ‘การทดสอบ’ แล้วกัน ในตอนแรกก็ให้ลองคิดหัวข้อมาประมาณ 20-30 ข้อ แล้วก็ลองเขียนไปเลย ที่นี้เราก็จะวัดผลและยาว บทความไหนเราชอบ บทความไหนคนเข้ามาอ่านเยอะ เราก็จะรู้ทางแล้ว

#5 บล็อกจะไปรอดไหม

ขอพูดเรื่องรายได้ก่อน บล็อกที่ผมเขียนก็ยังทำรายได้ให้กับผมได้อยู่นะ และผมก็รู้จักหลายคนที่ทำรายได้เดือนละหลายแสนบาทผ่านการเขียนเว็บไซต์ ทำบล็อกอย่างเดียว แต่ผมต้องออกตัวก่อนว่ามีคนแบบนี้น้อยลงๆทุกปี

ต้องยอมรับนะครับว่าในสมัยนี้ ตัวเลือกมีเยอะมาก Facebook ก็ได้ หรือ YouTube ก็ได้ Tiktok ก็มาแรง ถ้าเรามองว่าบล็อกของเราก็คือเรื่องของการเขียนอย่างเดียว…มันก็อาจจะเป็นการจำกัดตัวเองไปหน่อย

แน่นอนครับ บทความคือเรื่องของ ‘การเขียน’ แต่ในสมัยใหม่ บทความที่มีความนิยมกันจริงๆ ก็คือบทความที่มีการผสมวีดีโอประกอบ ภาพประกอบต่างๆ สุดท้ายแล้วคนเขียนบล็อกก็ไม่ต่างอะไรจากคนผลิตสื่อ ที่เราก็ต้องปรับวิธีการทำสื่อให้เหมาะกับผู้บริโภค

คำถามว่าบล็อกจะรอดหรือเปล่า ผมคิดว่าคำตอบก็คือขึ้นอยู่กับว่าหัวข้อของเราคืออะไร ง่ายที่สุดเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ อันนี้เขียนบล็อกได้ง่าย แต่เราก็จะเห็นว่าอย่างบล็อกท่องเที่ยว หรือว่าบล็อกทำอาหาร ในสมัยนี้ก็ได้มีการพัฒนากลายเป็นช่องยูทูปท่องเที่ยว ทำอาหาร 

หรือแม้แต่สมัยก่อนบล็อกคุณแม่แบ่งปันประสบการณ์เลี้ยงลูก ก็พัฒนาไปเป็น บล็อกบน Facebook ซึ่งก็มีการพัฒนาเพิ่มเติมเป็นวีดีโอบน Facebook แล้วก็พัฒนาไปอีกเป็นวีดีโอสั้นบน TikTok

ก็เลยอยากจะให้ทุกคนถามตัวเองก่อนว่า หัวข้อที่เราอยากจะเขียน เราสามารถอธิบายเป็นคำพูดและตัวอักษรได้ดีที่สุดหรือเปล่า หรือจะมีช่องทางอื่นที่เราสามารถแสดงออกได้ดีกว่านั้น

และแน่นอนว่าช่องทางไหนที่มีคนเข้ามาอ่านเยอะเข้ามาดูเยอะ เราก็สามารถสร้างรายได้ผ่านโฆษณา หรือในกรณีที่โตมาหน่อยก็จะมีสปอนเซอร์เข้าครับ 

สำหรับคนที่สนใจเรื่องการเขียนบล็อค ผมแนะนำให้อ่านบทความด้านการเขียน SEO เพิ่มนะครับ

พื้นฐาน SEO สำหรับเว็บไซต์
วิธีทํา SEO บน WordPress แบบง่าย จูงมือทำ
EAT กับ YMYL: ตัวย่อใหม่ที่คุณควรรู้เวลาทำ SEO

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด