สำหรับใครที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการการตลาดและต้องใช้ Facebook เป็นเครื่องมือหลักในการโฆษณาย่อมรู้ดีว่า การปรับแต่งโฆษณาใน Facebook ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลากหลายปัจจัยที่คุณต้องคำนึงถึง หลายคนจึงไม่แน่ใจว่าจะปรับงบประมาณให้กับโฆษณาแต่ละตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม
แต่อย่างที่รู้กันนะครับว่า Facebook ฉลาดกว่าที่คิด และมองเห็นถึงปัญหาข้างต้นเป็นอย่างดี แพลตฟอร์มจึงได้ออกแบบฟังก์ชั่นที่สามารถเข้ามาช่วยปรับแต่งงบประมาณให้คุณได้แบบอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Facebook CBO (Facebook Campaign Budget Optimization) ที่ทำให้การยิงโฆษณาเป็นเรื่องง่ายขึ้น
Facebook CBO คืออะไร?
Facebook CBO (Campaign Budget Optimization) หรือการเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณแคมเปญ คือฟังก์ชันอัตโนมัติบน Facebook ที่ช่วยปรับแต่งงบประมาณยิงโฆษณาในระดับแคมเปญไปยังกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์โดยรวมที่ดีที่สุด โดยคุณไม่ต้องลงมาปรับแต่งรายละเอียดงบประมาณปลีกย่อยด้วยตัวคุณเอง
โดยในอดีต หากคุณต้องการยิงโฆษณาบน Facebook คุณจะต้องทำการปรับแต่งโฆษณาใน 3 ระดับ นั่นก็คือ:
- ระดับแคมเปญ (Campaign Level): เพื่อกำหนดเป้าหมายในระดับใหญ่ที่สุดว่าคุณต้องการยิงโฆษณานั้นไปเพื่ออะไร เช่น ยิงโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ (Brand Awareness) หรือเพื่อเข้าถึงจำนวนคนให้ได้มากที่สุด (Reach) เป็นต้น
- ระดับชุดโฆษณา (Ad Set Level): เพื่อกำหนดว่าคุณต้องการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายใด มีกำหนดยิงโฆษณาเมื่อไหร่ บนแพลตฟอร์มใด และในส่วนนี้นี่แหละที่โดยปกติคุณจะเข้ามากำหนดงบประมาณของโฆษณาในแต่ละชุดด้วยตัวคุณเอง
- ระดับโฆษณา (Ad Level): ข้อนี้ไม่ยากครับ นั่นก็คือการปรับแต่งหน้าตาของโฆษณาแต่ละตัวที่กลุ่มเป้าหมายจะได้เห็น ทั้งรูปภาพและข้อความนั่นเอง
ถ้าอธิบายให้ง่ายก็คือ ในการกำหนดงบประมาณแบบดั้งเดิม คุณจะต้องเข้าไปปรับแต่งงบประมาณในแต่ละชุดโฆษณา (Ad Set) ด้วยตัวของคุณเอง
แต่สำหรับฟังก์ชั่น Facebook CBO คุณสามารถบอก Facebook ได้เลยว่า ทั้งแคมเปญโฆษณานี้คุณมีงบให้เท่าไร แล้วทาง Facebook จะเข้าไปปรับแต่งงบประมาณในแต่ละชุดโฆษณาให้คุณอย่างอัตโนมัติจากการทำนายแนวโน้มของผลลัพธ์ที่จะเกิด เพื่อให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากในแคมเปญโฆษณาของคุณ มีชุดโฆษณาอยู่ 3 ชุด นั่นก็คือ ชุด A, ชุด B, และชุด C มีงบทั้งหมดอยู่ที่ 300 บาท หากคุณปรับแต่งงบประมาณแบบวิธีดั้งเดิม คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าโฆษณาชุดไหนจะได้ผลลัพธ์ที่ดี คุณจึงกำหนดงบประมาณให้โฆษณาชุดละ 100 บาทเท่ากันหมด
ผลปรากฏว่าเมื่อยิงโฆษณาแล้ว โฆษณาชุด B ให้ผลลัพธ์เป็นคลิกดีที่สุดอยู่ที่ 5 คลิก ชุด A อยู่ที่ 3 คลิก และชุด C อยู่ที่ 2 คลิก รวมเป็น 10 คลิก
ซึ่งอันที่จริงแล้ว โฆษณาชุด B อาจทำผลลัพธ์ได้ดีกว่านี้อีก หากได้รับงบประมาณเพิ่มมากกว่านี้
แต่หากคุณเลือกใช้ฟังก์ชั่น Facebook CBO คุณกำหนดว่าทั้งแคมเปญจะลงเงินไปทั้งหมด 300 บาท Facebook จะทำการทดสอบก่อนว่าชุดโฆษณาตัวไหนได้ผลดีที่สุด ผลปรากฏว่าโฆษณาชุด B ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเช่นเดิม ทำให้ Facebook เพิ่มงบประมาณให้โฆษณาชุด B เต็มที่ จึงได้คลิกมากถึง 10 คลิก ในขณะที่ชุด A ได้ 3 คลิก และชุด C ได้ 2 คลิกเท่าเดิม โดยผลลัพธ์โดยรวมมีมากถึง 15 คลิก!
การใช้ฟังก์ชั่น Facebook CBO ในการยิงโฆษณา จึงทำให้การปรับแต่งงบประมาณเพื่อผลักดันผลลัพธ์โฆษณาให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดกลายเป็นเรื่องง่ายนั่นเองครับ
Facebook CBO มีข้อดีอะไรบ้าง?
และจากตัวอย่างวิธีการทำงานของ Facebook CBO ข้างต้น ฟังก์ชันนี้จึงส่งผลดีกับใครที่ทำการตลาดออนไลน์ ดังนี้ครับ:
#1 Facebook CBO ให้ผลลัพธ์การโฆษณาที่ดีกว่า
โดยเมื่อ Facebook ค้นพบชุดโฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ก็จะทุ่มงบประมาณลงไปบนโฆษณาชุดนั้นเต็มที่ โดยจะตรวจสอบผลลัพธ์กันแบบ real-time จึงได้ผลที่แม่นยำและช่วยลดต้นทุนในการยิงโฆษณาได้นั่นเองครับ
การทำโฆษณาแบบ CBO คือการบอกให้ Facebook ช่วยคัดเลือกชุดโฆษณา (Ad Set Level) ที่ดีที่สุดให้เราเอง เหมือนกับการปล่อยพวงมาลัยให้หุ่นยนต์ขับรถให้ ซึ่ง Facebook บอกไว้ว่าการทำโฆษณาแบบนี้ได้ผลดีกว่าการทำแบบทั่วไปแน่นอน
#2 CBO ลดการทับซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย (Audience Overlap)
การทับซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย (Audience Overlap) มักเกิดขึ้นเมื่อในหนึ่งแคมเปญโฆษณามีกลุ่มเป้าหมายที่ทับซ้อนกันระหว่าง 2 ชุดโฆษณาเป็นต้นไป ซึ่งถ้าหากใช้การกำหนดงบประมาณแบบดั้งเดิม คุณก็อาจจะเสียงบประมาณซ้ำซ้อนเพื่อยิงโฆษณาไปให้กับกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ทับซ้อนกันในแต่ละชุดโฆษณา
แต่ถ้าหากคุณใช้ฟังก์ชั่น Facebook CBO แม้ว่าจะกลุ่มเป้าหมายจะทับซ้อนกันระหว่างชุดโฆษณา แต่ Facebook ก็จะสามารถตรวจสอบได้ และจะไม่โชว์โฆษณาซ้ำซ้อนไปยังกลุ่มเป้าหมายเดิมนั่นเอง
#3 CBO ง่ายและประหยัดเวลา
นั่นหมายความว่าถ้าหากคุณใช้ Facebook CBO คุณก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งตรวจสอบโฆษณาที่ยิงออกไปหลายรอบต่อวัน เพราะ Facebook จะเป็นคนปรับแต่งงบประมาณตามผลลัพธ์ของโฆษณาที่ได้ให้คุณโดยอัตโนมัติ จึงประหยัดเวลาจัดการเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ Facebook CBO ยังเป็นส่วนที่เข้ามาช่วยคำนวณแนวโน้มผลลัพธ์และคำนวณงบประมาณที่ควรจะเป็นให้คุณโดยอัตโนมัติ คุณจึงไม่ต้องมานั่งปวดหัวเพื่อคำนวณงบประมาณด้วยตัวคุณเอง ทำให้การปรับแต่งงบประมาณเป็นเรื่องง่าย
#4 ไม่ต้องเริ่มต้นช่วงการเรียนรู้ (Learning Phase) ใหม่
ซึ่งโดยปกติ หากคุณปรับแต่งงบประมาณในการยิงโฆษณาด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่คุณปรับงบประมาณใหม่ Facebook ก็จะต้องเริ่มต้นช่วงการเรียนรู้หรือ Learning Phase ใหม่ทุกครั้ง ทำให้คุณต้องเสียงบประมาณบางส่วนไปกับช่วงการเรียนรู้ แทนที่จะได้ใช้งบยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ในทันที
ในขณะที่ถ้าหากคุณใช้ Facebook CBO เมื่อ Facebook ทำการปรับงบประมาณในชุดโฆษณาให้คุณโดยอัตโนมัติ ก็จะไม่มีการเริ่มต้นช่วงการเรียนรู้ใหม่แต่อย่างใด ทำให้คุณสามารถยิงโฆษณาออกไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด และง่ายต่อการเพิ่มงบประมาณโฆษณาในภายหลังนั่นเองครับ
บทสรุปของ Facebook CBO
หากคุณใช้ Facebook CBO เป็น คุณก็จะรู้ว่าการทำโฆษณาบน Facebook นั้นทำได้ง่ายมากขึ้น โดยรวมแล้ว เราจะเห็นได้ว่า Facebook นั้นฉลาดขึ้นมากปีต่อปีเลย ซึ่งก็แปลว่าการปล่อยให้ Facebook ทำการปรับประสิทธิภาพงบประมาณแคมเปญตามเป้าหมายของคุณก็อาจจะเป็นแนวโน้มที่ดีครับ เพราะในโลกยุคสมัยใหม่ ยังไงเครื่องจักรที่มีข้อมูลมหาศาลก็ย่อมทำงานได้ดีกว่าตัวคนคิดเอง
สุดท้ายนี้ถ้าคุณชอบบทความนี้ ผมแนะนำให้คุณอ่านบทความต่อไปนี้เพิ่มเติมด้วย
Facebook คืออะไร? ทำอะไรได้และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
วิธีแก้ปัญหาค่าโฆษณา Facebook แพงขึ้น (จนไม่คุ้มที่จะขาย)
Facebook Ads คืออะไร? คู่มือโฆษณา Facebook สำหรับมือใหม่