วิธีลงโฆษณา Facebook ง่ายๆ ไม่แพง ใครก็ทำได้ [ใช้ได้อยู่ใน 2024]

วิธีลงโฆษณา Facebook ฉบับอัพเดท !

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี Facebook ก็ยังเป็น Social Media ที่คนไทยใช้เยอะที่สุด แต่นักการตลาดบน Facebook จะทำยังไงดีในเมื่อคู่แข่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ค่าโฆษณาบน Facebook ก็เพิ่มขึ้นทุกปี

แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดรุ่นเก๋าหรือนักการตลาดมือใหม่ก็ไม่ต้องตกใจไป ทุกปัญหามันมีการแก้เสมอ

ในวันนี้เรามาลองดูกันว่าวิธีลงโฆษณา Facebook ทำกันอย่างไรและมีทริคอะไรบ้างที่จะทำให้ค่าโฆษณาเราลดลง ที่สำคัญทำได้ไม่แพงครับ ลงโฆษณาแค่วันละ 100 บาทก็ทำได้

วิธีลงโฆษณา Facebook ง่ายๆ ไม่แพง ใครก็ทำได้ [2024]

ข้อที่ 1 ทำความรู้จัก Facebook Ads Manager

แคมเปญทุกอย่างของ Facebook และ Instagram ควรที่จะทำผ่าน Facebook Ads Manager เท่านั้น (และไม่ควรทำผ่านการ Boost Post ในหน้าเพจของคุณนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วมันจะไม่คุ้ม)

ข้อที่ 1 ทำความรู้จัก Facebook Ads Manager

วิธีเข้าไปยัง Facebook Ads Manager สามารถเข้าได้หลายทางครับแต่ถ้ายังหาไม่เจอก็กดลิงค์ตรงนี้ได้เลย (ทำในคอมดีกว่ามือถือนะครับ)

Facebook.com/adsmanager

แน่นอนว่าก่อนที่จะเริ่มทำลงโฆษณากับ Facebook คุณจำเป็นต้องมีเพจของตัวเองก่อนไม่ว่าจะเป็นบน Facebook หรือว่าบน Instagram ก็ตาม

หากคุณเป็นเจ้าของบัญชีใหม่ ก็ให้ใส่ข้อมูลให้ครบตามที่ Facebook กำหนด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นข้อมูลการชำระเงินในข้อมูลบัตรเครดิตนั้นเอง

และสุดท้ายคุณก็ไม่ควรลืมการติดตั้ง Facebook Pixel เพราะมันจะช่วยเก็บข้อมูลในการทำการตลาดต่อไปของคุณได้อีก

โฆษณา Facebook - การติดตั้ง Facebook Pixel ผ่าน Event Manager

ซึ่งคุณสามารถติดตั้ง Facebook Pixel ได้ด้วยการเข้าไปตรง Event Manager ฝั่งซ้ายบนของ Facebook Ads Manager แล้วก็กด Create Pixel ได้เลย

โฆษณา Facebook - การติดตั้ง Facebook Pixel ผ่าน Event Manager 2

หากใครอยากให้ผมเขียนอธิบายเรื่องการลง Pixel บอกนะครับ เดี๋ยวผมจะเขียนเพิ่มเติมให้อีกที

ข้อที่ 2 ตั้งเป้าหมายและงบในการลงโฆษณา

ก่อนที่เราจะเริ่มลงโฆษณาใน Facebook เราควรจะพิจารณาดูก่อนว่าเป้าหมายในการลงโฆษณาครั้งนี้คืออะไร เพราะเป้าหมายที่คุณตั้งจะเป็นตัววัดว่าคุณทำโฆษณาได้ดีหรือไม่ดี

ข้อที่ 2 ตั้งเป้าหมายและงบในการลงโฆษณา Facebook Ads

ซึ่งเป้าหมายปกติที่คนนิยมใช้กันก็คือเพิ่มจำนวนคนที่ทักเข้ามา หรือเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์เป็นต้น เป้าหมายที่ควรตั้งในขั้นตอนนี้ก็จะเป็นตัวช่วยคุณในเวลาคุณเริ่มสร้างโฆษณานะครับ ตัวอย่างเป้าหมายในการลงโฆษณาเพิ่มเติมได้แก่

  • เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic)
  • เพิ่มจำนวนคนจะมางาน Event 
  • เพิ่มจำนวนคนที่เห็น Content ของเรา (Reach)
  • เพิ่มจำนวนคนที่ทักเข้ามาใน Facebook Message (Message)
  • เพิ่มจำนวนลูกค้าหรือคนที่ซื้อสินค้า (Conversions)

ส่วนมากเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการทำโฆษณาก็คือ การเพิ่มยอดขาย นั่นแหล่ะครับ (เป้าหมายเป็น Message สำหรับคนไม่มีเว็บไซต์ หรือ Conversion – Purchase สำหรับคนที่มีระบบการขายออนไลน์) ซึ่งจะเป็นเป้าหมายของประมาณ 90 % ของ SME เลย บางคนมีงบมากหน่อยก็อาจจะลงเงินสำหรับการสร้าง Reach วันละเล็กน้อยเพื่อสร้างแบรนด์ตัวเอง

แต่โดยรวมแล้ว ผมแนะนำให้ธุรกิจ SME ลงงบประมาณกับการขายเยอะกว่าการสร้างแบรนด์หรือการหาคนมากดไลค์เพจนะครับ (80-90% ของการลงโฆษณาควรจะเป็นการขาย)

ยิ่งในช่วงหลังที่ Facebook เริ่มลด Organic Reach หรือจำนวนคนที่เห็นโพสโดยที่เราแบบไม่ต้องเสียเงิน การเก็บ Like ของ Page ก็ยิ่งมีค่าน้อยลงเรื่อยๆ Page Like กลายเป็นแค่ตัวเลขประดับบารมีเท่านั้นเอง (แต่ใช้ในการทำ Retargeting ได้ทีหลังเพราะฉะนั้นคุณ ไม่ควรซื้อ Like Page นอกระบบ เพราะจะทำให้การเก็บข้อมูลแย่ลง)

แน่นอนว่า นอกจากเป้าหมายแล้วคุณยังต้องคิดอีกว่าคุณอยากจะลงงบประมาณในการโฆษณาเท่าไหร่ จากประสบการณ์ของผมคิดว่าควรจะใช้อย่างน้อย 4-5,000 บาทสำหรับ 1 แคมเปญ (แคมเปญอาจจะใช้เวลาหลายอาทิตย์) โดยที่เราอาจจะเลือกแค่การใช้วันละ 100 บาทต่อ 1 โฆษณา (ต่อหนึ่ง Ads) ก็ได้ 

ผมแนะนำให้ ทำอย่างน้อย 4-5 โฆษณาต่อหนึ่งแคมเปญ เพื่อทดสอบหาโฆษณาที่คุ้มราคาที่สุดนะครับ 

เรื่องการตั้งงบขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนเลยครับ บางคนอยากเก็บข้อมูลเร็วๆและมีงบมากหน่อยก็เลือกที่จะลงเงินมากกว่าปกติ หรือถ้าสินค้าคุณมีราคาแพง และทำกำไรต่อการขายได้เยอะ (ต้นทุนสินค้าน้อยกว่า 20-30% ของราคาขาย) คุณก็จะมีงบให้ทดสอบโฆษณาได้มากขึ้น แต่จากประสบการณ์ของผม คุณควรลงเงินอย่างน้อย 10,000-30,000 บาทกว่าจะเห็นกำไรที่ชัดเจนครับ (กระจายลงได้ตลอดเดือน)

ข้อที่ 3 สร้างโฆษณา Facebook Ads

โฆษณาที่เราจะมาลงใน Facebook สามารถทำได้หลายรูปแบบครับแต่สิ่งที่คนนิยมทำกันมากที่สุดก็คือการลงโฆษณารูปภาพ และ โฆษณาวีดีโอ

ซึ่งก็อยู่กับความถนัดและงบประมาณที่คุณอยากจะลงในการสร้างโฆษณาเลยครับ แต่โดยรวมแล้วปัจจุบันปี 2024 ทาง Facebook ชอบให้คนลงโฆษณาเป็นวีดีโอมากกว่า (และถ้าคุณทำตามสิ่งที่ Facebook แนะนำ ค่าโฆษณาของคุณก็จะถูกลง) ยิ่งเป็นวิดีโอสั้นแนวตั้งยิ่งได้ผลดี

… แต่ก็ต้องทดสอบวัดตัวเลขจริงอีกทีด้วยนะครับ สินค้าและธุรกิจแต่ละประเภท ลูกค้าจะชอบเสพสื่อที่ไม่เหมือนกัน

แน่นอนว่า การสร้างโฆษณาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือลูกค้าของคุณดูจะชอบโฆษณาของคุณมากแค่ไหน ถ้าคนดูชอบ โฆษณาของคุณมากมีการคอมเม้น ไลค์ หรือกดแชร์เยอะ ค่าโฆษณาของคุณก็จะถูกลงอีกเช่นกัน

รูปแบบโฆษณาขึ้นอยู่กับสินค้าและทักษะการออกแบบของคุณเลยครับ แต่โดยรวมแล้วผมแนะนำให้มีอย่างน้อย 3 อย่างนี้

  • อธิบายถึงปัญหาของลูกค้า (pain point)
  • อธิบายถึงข้อดีของสินค้าที่จะแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้
  • กระตุ้นความรู้สึกของลูกค้า (call to action) เช่น บอกให้ซื้อเลย ทักมาในข้อความ หรือกดแชร์เป็นต้น
ข้อที่ 3 สร้างโฆษณา Facebook Ads - ตัวอย่างโฆษณาด้วยรูปภาพและวิดีโอ

ถ้าคุณขายสินค้าที่อธิบายง่าย ยกตัวอย่างเช่นเสื้อผ้า โฆษณาของคุณก็อาจจะออกมาเรียบง่ายกว่าสินค้าประเภทอื่น อย่างพวกโฆษณาคอร์สออนไลน์ที่เจ้าของคอร์สต้องพูดเยอะๆขายเก่งๆถึงจะจูงใจคนได้

และถ้าคุณมีโฆษณาแล้วคุณอาจจะเริ่มคิดเรื่อง ‘ข้อความ’ ของคุณด้วยเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น

  • สินค้านี้ราคาเท่าไร
  • สินค้านี้เหมาะกับใคร
  • หาซื้อได้ที่ไหน
ข้อที่ 3 สร้างโฆษณา Facebook Ads - ตัวอย่างของการเขียนโพสโฆษณา Facebook

ข้อความที่เขียนควรจะเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายคุณนะครับ ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มได้ในหัวข้อถัดไป

ข้อที่ 4 เลือกกลุ่มเป้าหมาย และ Placement

กลุ่มเป้าหมายใน Facebook สามารถเลือกได้หลากหลายเลยครับโดยจะแบ่งเป็น 2 อย่างคือ Demographic และ Interest

ข้อที่ 4 เลือกกลุ่มเป้าหมาย และ Placement  และวิธีลงโฆษณา Facebook

Demographic คือช่องด้านบนของโฆษณาใน Facebook ที่จะรวมถึงที่อยู่ อายุ เพศ แล้วก็ภาษาของกลุ่มลูกค้าที่คุณอยากจะเห็นให้เห็นโฆษณา ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณขายอุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับเด็กผู้หญิง คุณก็ไม่จำเป็นต้องยิงโฆษณาให้ผู้ชายอายุ 60 ที่พูดแต่ภาษาอังกฤษดูใช่ไหมครับ

ข้อแนะนำในการทำ Demographic Targeting

  • ที่อยู่ – ถ้าธุรกิจคุณมีหน้าร้าน สามารถตั้งโฆษณาให้คนที่อยู่แถวหน้าร้านคุณเห็นได้ (รัสมี 10-25 กม จากหน้าร้าน)
  • อายุ – หากไม่ได้ขายสินค้าให้เด็ก แนะนำให้ตั้งอายุ 21 ขึ้นไปเพราะอายุน้อยกว่านี้จะมีเงินน้อย ซื้อได้ไม่เยอะ ไม่คุ้มค่าโฆษณา
  • เพศ – เลือกตามความเหมาะสมของธุรกิจคุณ
  • ภาษา – ส่วนมากใช้ภาษาไทย

โดยกลุ่มเป้าหมาย Demographic ทาง Facebook ได้มาจากข้อมูลผู้ใช้เวลาเขาสมัครบัญชีกับ Facebook

กลุ่มเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ Interest หรือก็คือความสนใจของแต่ละคนที่ Facebook วิเคราะห์จากพฤติกรรมที่เล่น Facebook ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมกดไลค์เพจฟุตบอลเยอะๆ Facebook ก็จะรู้ว่าผมเป็นคนที่มี Interest ในฟุตบอลนั้นเอง

ข้อที่ 4 เลือกกลุ่มเป้าหมาย และ Placement  - ข้อแนะนำการเลือกกลุ่มเป้าหมายของ Facebook Ads

ผมแนะนำว่าวิธีลงโฆษณาให้วัดผลง่ายที่สุด ก็คือให้เลือกโฆษณาแค่อย่างละ 1 interest ก็พอ เพราะถ้าเราใส่หลาย interest เข้าไปในโฆษณาอันเดียวกัน เราก็จะไม่รู้ว่าอันไหนทำเงินให้เรา พออยากเพิ่มงบทีหลังมันจะลำบากครับ

Expand Targeting ในตอนแรก ผมไม่แนะนำให้เลือก แต่ถ้าคุณทำโฆษณาได้กำไรแล้ว สามารถกด Duplicate (คัดลอก) โฆษณาตัวที่ทำกำไรแล้วค่อยกด Expand Targeting เพิ่มเพื่อทดสอบอีกที

แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะบอกได้หรอกว่า Interest อันไหนจะทำกำไรให้คุณเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ ‘การทดสอบ’

สำหรับผม กลุ่มเป้าหมายควรจะกว้างอย่างน้อย 100,000 คนขึ้นไปและในช่วงทดสอบไม่ควรเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนเกิน 1 ล้านคนครับ (ถ้าอยากเลือกจำนวนเกิน 1 ล้านคนจริงๆให้ทำ narrow interest) 

ข้อที่ 4 เลือกกลุ่มเป้าหมาย และ Placement  - ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย Facebook

ซึ่งก็จะมาถึงสิ่งที่นักการตลาด Facebook หลายคนแนะนำก็คือการลงโฆษณาวันละ 100 บาทเป็นต้น ให้เราเริ่มต้นด้วยการทำ 3-5 โฆษณา แต่ละโฆษณามีงบอย่างน้อย 100 บาท และมี Interest ไม่เหมือนกัน

เรื่องการเลือกกลุ่มเป้าหมายพูดทั้งวันก็ไม่จบหรอกครับ หากใครสนใจ comment ได้แล้วเดี๋ยวผมจะมาอธิบายเพิ่มนะครับ

วิธีการเลือก Placement ของ โฆษณา Facebook

Placement ของ Facebook มีหลากหลายมาก แต่โดยรวมแล้วสามารถแบ่งใหญ่ๆได้ 2 อย่างก็คือ

  • ลงใน facebook และ/หรือ instagram
  • ลงใน desktop (คอมพิวเตอร์) และ/หรือ มือถือ

โดยรวมแล้วถ้าสินค้าคุณไม่ใช่อะไรที่จะขายให้กับบริษัท (B2B) ผมแนะนำให้เลือกลงในมือถือได้เลยไม่ต้องไปลงใน desktop 

ส่วนจะลงใน facebook หรือ instagram ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนแต่ ณ ปัจจุบันผมแนะนำให้ลงแค่ตรง Instagram และ Facebook Feeds อย่างเดียว แต่ถ้าคุณมีงบทดสอบอย่างอื่นด้วยก็ได้ครับ การตั้งค่าแบบนี้เป็นแค่คำแนะนำเบื้องต้นเพื่อลดโอกาสขาดทุน

ส่วนตรงข้างล่าง ถ้าโฆษณาของคุณเป็นวีดีโอ ผมแนะนำให้เลือกให้แสดงกับลูกค้าที่มี WiFi เท่านั้น ประเทศไทยอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยแรง บางทีแสดงผลให้ลูกค้าดูแล้วลูกค้าไม่สามารถเปิดได้ครับ

คำแนะนำการทำ Facebook Ads - การตั้งโฆษณา Facebook และเลือก Placement แบบเบื้องต้น

พอเราได้ทำทุกอย่างครบแล้วก็ถึงเวลาที่จะปล่อยโฆษณา Facebook เอาไปให้คนเริ่มดูครับ ผมขอย้ำว่าถ้าคุณยังไม่มี Pixel ของ Facebook ติดตั้งให้ทำซะนะครับ หรือถ้าใครมีเว็บไซต์ก็ให้ติด Google Analytics ไปด้วยได้เลย

แล้ว Bidding ต้องเท่าไร?

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มทำโฆษณา ผมแนะนำให้ไม่ต้องกำหนดค่า Bidding ครับ

สิ่งที่เราควรทำคือปล่อยให้โฆษณาวิ่งไปซักพักหนึ่งก่อน จนกว่าคุณจะได้ค่า cost per click หรือ cost per purchase ที่คุณพอใจ แล้วค่อยกลับไปตั้งค่าการ Bidding อีกรอบ สำหรับมือใหม่ผมแนะนำให้อ่านและทำตามคู่มือนี้ไปจนจบก่อนแล้วค่อยคิดครับว่า Bidding ควรจะเท่าไรอิงตามตัวเลขความเป็นจริง

ข้อที่ 5 วัดผล จากโฆษณา Facebook

หาคุณลงงบ 100 บาทต่อวันผมแนะนำให้ปล่อยโฆษณาวิ่งไปซัก 2-3 วันก่อนแล้วค่อยกลับมาดูผลประกอบการ

สาเหตุก็เพราะว่า Facebook ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการวิเคราะห์ข้อมูลหากลุ่มเป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับโฆษณาของคุณครับ ซึ่งถ้าคุณรีบปิดเกินไปก็อาจจะไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดนั่นเอง

แน่นอนว่าการลงโฆษณาก็เหมือนกับการทำธุรกิจ บางวันก็อาจจะขายดีบางวันก็อาจจะขายไม่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะสนใจก็คือตัวเลขเฉลี่ยนั้นเอง การลงโฆษณาบน Facebook ก็เหมือนกัน ถ้าเราลงงบน้อยเราก็ควรจะปล่อยให้โฆษณาวิ่งสัก 2-3 วันเพื่อจะได้ข้อมูลเฉลี่ยที่แท้จริง

ในกรณีที่เราลงงบน้อย ในระยะแรกเราอาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมาก หากสมมุติผลลัพธ์ปลายทางของคุณก็คือการคลิกเข้าเว็บไซต์หรือการอยากให้ลูกค้าทักมาใน message ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์เร็วๆก็ให้พิจารณาการใช้งบประมาณต่อวันมากกว่าเดิม

เพราะฉะนั้นผมเลยมีค่าอื่นที่อยากให้ทุกคนลองดูกันก่อนจะได้เป็นการช่วยตัดสินใจได้ว่าโฆษณาอันนี้ดีหรือไม่ดีหรือกลุ่มเป้าหมายนี้ดีหรือไม่ดีครับ ยกตัวอย่างเช่น

  • Cost per click
  • Video watch time
  • Cost per 1000 impression (cpm)
  • Comment

ปัจจัยพวกนี้จะเป็นตัวคอยบอกคุณว่าโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายของคุณดีหรือไม่ดี แต่ถ้าถามว่าต้องจำนวนเท่าไหร่ถึงจะดีหรือไม่ดีผมตอบได้แค่ว่า ‘ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ’ เพราะตัวเลขมันขึ้นลงขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าเลยครับ

ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ผมแนะนำให้ลงโฆษณายิงหลายกลุ่มเป้าหมาย คุณจะได้มีตัวเปรียบเทียบว่าเท่าไหนถึงดีหรือเท่าไหร่ถึงไม่ดี

ข้อที่ 6 Segmentation และการย่อยกลุ่มเป้าหมายใน Facebook

หากกลุ่มเป้าหมายอันไหนดูไม่มีแววจะทำกำไรได้ผมก็แนะนำให้ปิดไปเลยครับ (หลังจากที่ผ่านมา 2-3 วันแล้ว)

แต่แน่นอนว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายไหนมีกำไรดี สิ่งที่ควรต้องทำก็คือเพิ่มงบประมาณการตลาด

ปัญหาที่คนมักจะเจอกันก็คือกลุ่มเป้าหมายที่ดูเหมือนจะกำไรแต่ก็ไม่ได้กำไรมากมายนัก เราจะทำยังไงกับกลุ่มเป้าหมายพวกนี้ดี

คำตอบก็คือการย่อยกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ในแต่ละกลุ่มเป้าหมายที่เราเลือกไว้มันก็จะมีกลุ่มเป้าหมายย่อยอีกถูกใช่ไหมครับยกตัวอย่างเช่น อายุ เพศ หรือPlacementต่างๆ

ข้อที่ 6 Segmentation และการกรองกลุ่มเป้าหมายใน Facebook - การอ่านข้อมูลโฆษณา Facebook

เวลาดู Report เราสามารถกด Breakdown เพื่อดูได้ว่าช่วงกลุ่มอายุ หรือกลุ่มลูกค้าอย่างอื่นกลุ่มไหนที่ชอบโฆษณาของเรามากสุด

โฆษณาที่เราปล่อยให้วิ่งไปหลายๆวันก็จะสามารถแบ่งข้อมูลดูย่อยได้อีกว่าลูกค้าแต่ละ demographic กับ placement กดหรือดูโฆษณาของเรามากแค่ไหน ให้เราเลือก demographic กับ placement ที่ทำกำไรแล้วก็กด duplicate โฆษณาต่อได้เลยครับ

สำหรับคนที่ถามว่าเพิ่มงบโฆษณาตัวเก่าได้เลย หรือควร duplicate สร้างโฆษณาใหม่ ทาง Facebook แนะนำว่าทำยังไงก็ได้ แต่ผู้ใช้บางคนชอบที่จะทำการ duplicate มากกว่าเพราะว่า ‘อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ไม่ควรไปเปลี่ยนมัน’ ส่วนข้อแนะนำในการเพิ่มงบ คุณควรเพิ่มทีละ 20-30% พอครับ ไม่ควรรีบเพิ่มมากไป

หลังจากนั้นก็รออีก 2-3 วันเพื่อวัดผลอีกรอบ หรือถ้าคุณคิดว่าไม่มีกลุ่มเป้าหมายไหนเลยที่โอเค ผมก็แนะนำให้ลองยิงกลุ่มเป้าหมายเพิ่มไปอีกสัก 2-3 กลุ่มเป้าหมายครับ

ถ้ายิงหลายกลุ่มเป้าหมายแล้วยังไม่เจอผลตอบรับที่ดี อาจจะแปลว่าโฆษณาของคุณยังไม่ดีพอ ให้ลองกลับไปออกแบบใหม่อีกรอบนะครับ (หรือถ้าโฆษณาของคุณเป็นวีดีโอ คุณสามารถดูจาก average watch time ได้ว่าตัวเลขมันเยอะหรือเปล่าถ้าตัวเลขเยอะ Facebook จะชอบเพราะว่าวีดีโอคุณน่าสนใจ)

การดู Video Engagement จากการทำโฆษณา Facebook

ให้กดไปที่ Columns: Video Engagement เพื่อดูจำนวนคนที่ดูวิดิโอ และสามารถปรับ Breakdown เพื่อหากลุ่มลูกค้าที่ดูเยอะที่สุดได้ด้วย

แต่ถ้ามีคนทักเข้ามาเยอะแล้วคุณยังปิดดีลไม่ได้ ผมแนะนำให้ดูหน้าเว็บไซต์ และดูวิธีการคุยกับลูกค้าดูว่าจะมีวิธีไหนพัฒนาเพิ่มได้ไหม ปัจจัยส่วนมากจะอยู่ที่สินค้า ราคาสินค้า และวิธีการขายครับ

ข้อที่ 7 Lookalike Audience หัวใจของโฆษณา Facebook

อัพเดท: ในช่วงหลังๆ Facebook ถูกหลายๆประเทศห้ามไม่ให้เก็บข้อมูลลูกค้าเกินความจำเป็น ทำให้การยิงโฆษณากแบบ Custom + Lookalike ทำได้ยากขึ้นมาก ลูกค้าหลายๆคนถึงขนาดเลิกยิงไปแล้ว ทำแต่แบบกลุ่มเป้าหมายแทนครับ ไม่ได้หมายความว่าทำแบบนี้ทำกำไรไม่ได้ แต่อาจจะต้องทดสอบเยอะมากๆ

หลังจากที่คุณติดตั้ง Facebook Pixel และได้ยิงกลุ่มเป้าหมายไประดับหนึ่งแล้ว ให้ไปดูตรงหมวด Pixel ของ Facebook แล้วดูว่าคุณเก็บข้อมูลมาได้เยอะพอหรือยัง

เพราะ Facebook Pixel จะเก็บข้อมูลให้เราสร้างกลุ่มเป้าหมายพิเศษของตัวเองที่เรียกว่า Lookalike Audience ได้ มันก็คือกลุ่มเป้าหมายที่ Facebook คัดสรรมาว่าน่าจะคล้ายกับกลุ่มเป้าหมายที่รอยิงไปมากที่สุด

ข้อที่ 7 Lookalike Audience หัวใจของโฆษณา Facebook

โดยที่ตอนแรกคุณต้องเริ่มจากการสร้าง Custom Audience ก่อนแล้ว แล้วค่อยสร้าง Lookalike Audience จากกลุ่ม Custom Audience ของคุณ

ข้อที่ 7 Lookalike Audience หัวใจของโฆษณา Facebook 2
ข้อที่ 7 Lookalike Audience หัวใจของโฆษณา Facebook - Custom Audience

ถ้าโฆษณาของคุณเป็นวีดีโอ คุณก็จะมีลูกเล่นในการทำ Lookalike Audience มากกว่าเดิมครับ โดยที่ Lookalike Audience ที่คนนิยมทำกันมีดังนี้ครับ

  • 95% video view (คนที่ดูวีดีโอเราเกิน 95 เปอร์เซ็นต์)
  • Website visit (คนที่เข้าเว็บไซต์)
  • Interact with Facebook page (Click on Post, Send Message, Saved Post)
  • Interact with Instagram

ผมแนะนำว่าคุณควรจะมี Event ของ Facebook pixel อย่างน้อย 500 event ถึงจะเริ่มทำ lookalike audience ได้ดีนะครับ ให้เริ่มจาก Event ง่ายๆแบบคนดูวิดีโอก่อน แล้วค่อยขยับมาส่วนคนทักข้อความ คนกดดูเพจ หลังจากที่มีข้อมูล Pixel มากขึ้นแล้ว

โดยคุณสามารถย่อย Lookalike Audience ออกมาเป็นประวัติของ 1% 2% ถึง 10% เลย แต่ในช่วงทดสอบให้เราทำแค่ 1% ก่อนก็พอ

วิธีทำ lookalike audience แบบมีระบบก็คือ ไม่ควรปล่อยให้กลุ่มลูกค้าแต่ละอย่าง มีเปอร์เซ็นต์ทับกัน 

ถ้าคุณทำมาถึงขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ได้กำไร ให้หยุดทันทีนะครับ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่การยิงโฆษณาแล้ว ปัญหาอยู่ที่โฆษณาของคุณยังไม่ดีพอ หรือสินค้าของคุณอาจจะไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณทำ หากคุณข้ามขั้นตอนไปทำมากกว่านี้จะเป็นการเสียเงินฟรี

ให้คุณกลับไปแก้โฆษณาหรือปรับราคาสินค้าดูอีกรอบก่อนค่อยยิงโฆษณาต่อ หรือถ้าคุณทำโฆษณาแล้วได้กำไรก็อ่านต่อเพื่อดูวิธีการยิงโฆษณาแบบมือโปรต่อกันคร้บ

กลับมาเรื่องการยิงโฆษณาต่อ Lookalike audience ของคนที่มีเว็บไซต์จะทำอะไรได้ซับซ้อนกว่าตามข้างล่างนี้ครับ

  • Top 25% page visit (คนที่เข้าเว็บไซต์แล้วอยู่นานกว่าคนอื่น)
  • Visit frequency > 2 (คนที่เข้าเว็บไซต์มากกว่าสองครั้ง)
  • Initiated Checkout (คนที่กดซื้อแต่ไม่ได้จ่ายเงิน)
  • Purchase

หรือถ้าคุณเป็นธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลหรืออีเมลลูกค้า ก็สามารถทำ Custom Lookalike Audience ได้ด้วย ข้อแนะนำก็เหมือนเดิมนะครับ ควรจะมีข้อมูลลูกค้าอย่างน้อย 100 ถึง 500 คนขึ้นไป ให้ไปที่ Custom Audience > Customer List

ถ้าเราทำโฆษณาตัวนี้เอาไปแล้วก็ให้กลับไปดูข้อ 5 กับข้อที่ 6 เพื่อที่จะคัดกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจและย่อยกลุ่มลูกค้าที่น่าจะทำกำไรให้เรา

ข้อที่ 8 Retargeting / Remarketing ในโฆษณา Facebook (แถม)

ข้อนี้ผมแถมให้เป็นโบนัสพิเศษ สำหรับคนที่อ่านมาจนจบนะครับ ซึ่งมันเป็นทีเด็ดที่ทำให้นักการตลาดหลายคนประสบความสำเร็จมาแล้ว

Retargeting คือการยิงโฆษณากับไปให้ลูกค้าที่เคยดูโฆษณาแล้ว เพราะลูกค้าที่เคยดูหรือรู้จักเราแล้วเป็นกลุ่มที่ง่ายต่อการโน้มน้าวให้ซื้อสินค้าแล้วครับ

ตามภาษาการตลาดกลุ่มลูกค้าที่คุณยิง interest ไปนั้นเขาเรียกว่า cold audience หรือคนที่ไม่เคยรู้จักสินค้าคุณมาก่อนนั่นเอง หากเทียบแล้วก็เหมือนกับเป็นการจ้างเด็กไปแจกใบปลิวให้กับลูกค้าที่เดินอยู่ตามห้าง

คนพวกนั้นเขาไม่ได้รู้จักเรามาก่อนและโอกาสที่จะซื้อสินค้าของเราก็มีน้อยใช่ไหมครับ

แต่ทีนี้ Facebook เก็บข้อมูลคนที่เห็นโฆษณาของเราไปแล้วรอบนึงผ่าน Pixel และสามารถเลือกที่จะแสดงโฆษณาซ้ำให้กับคนพวกนั้นได้อีกรอบด้วย พอลูกค้าที่เดินอยู่ตามห้างเจอเด็กแจกใบปลิวซ้ำกันคนที่ 2 คนที่ 3 โอกาสที่เขาจะซื้อก็มีมากขึ้น (ถ้าเขาไม่ได้รำคาญเราซะก่อน)

ซึ่งกลุ่ม Retargeting ที่คนนิยมใช้กันจะมีดังนี้

  • ลูกค้าที่ให้ข้อมูลชำระเงินแต่ไม่ได้กดชำระเงิน
  • ลูกค้าที่เข้าเว็บไซต์เราแต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชำระเงิน
  • ลูกค้าที่ดูวีดีโอของเราเกิน 95 % แต่ไม่ได้เข้าเว็บไซต์เรา ในเวลา 7 วันที่ผ่านมา
  • ลูกค้าที่ดูวีดีโอเราเกิน 75% แต่ไม่ถึง 95% ในเวลา 7 วันที่ผ่านมา
  • ลูกค้าที่ดูวีดีโอเราเกิน 75% ในเวลา 30 วันที่ผ่านมาแต่ไม่ได้ดูวีดีโอเราในเวลา 7 วันที่ผ่านมา
ข้อที่ 8 Retargeting / Remarketing ในโฆษณา Facebook

โดยวิธีการสร้างก็แค่เข้าไปเลือกตรง Custom Audience ได้เลยครับ แค่เราต้องกำหนดช่วงเวลาไว้ว่าจะ 3 วัน 7 วันหรือ 30 วัน หลังจากนั้นก็กลับมาตรงการลงโฆษณาแล้วก็ทำการ Exclude

อย่างที่เห็นก็คือกลุ่มเป้าหมาย Retargeting ส่วนมากจะเอนเอียงไปทางคนมีเว็บไซต์มากกว่า หากเรามีแค่หน้าร้าน Facebook/IG เราก็สามารถทำได้ดังนี้ครับ

  • ลูกค้าที่ทักเข้ามาใน facebook ในเวลา 7 วันที่ผ่านมา
  • ลูกค้าที่ทักเข้ามาใน instagram ในเวลา 7 วันที่ผ่านมา
  • ลูกค้าที่ทักเข้ามาใน facebook 30 วันที่ผ่านมาแต่ไม่รวม 7 วันที่ผ่านมา
  • ลูกค้าที่ทักเข้ามาใน instagram 30 วันที่ผ่านมาแต่ไม่รวมจัดวันที่ผ่านมา

โดยที่เราควรจะทดสอบดังนี้

  • ยิงโฆษณาอันเดิมไปให้ลูกค้ากลุ่มเดิมดู
  • ยิงโฆษณาแบบใหม่ไปให้ลูกค้ากลุ่มเดิมดู
  • ยิงโฆษณาแบบใหม่ และลดราคา ไปให้ลูกค้ากลุ่มเดิมดู (ข้อนี้ผมแนะนำให้ใช้สำหรับกลุ่มที่เข้ามาในวัน 30 วันแต่ไม่ได้รวม 7 วันที่ผ่านมา)

เพียงแค่คุณทำแค่นึ้ คุณก็จะสามารถกอบโกยกำไรที่หลุดมือคุณไปได้ครั้งหนึ่งกลับมาได้

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ไม่ทราบว่าทุกคนเข้าใจวิธีการทำ Facebook, Lookalike Audience, Retargeting กันดีมากขึ้นไหมครับ มีใครทำแล้วได้ผลยังไงแบ่งปัญประสบการณ์ให้ผมในคอมเม้นข้างล่างด้วยนะครับ หรือถ้าใครมีคอมเม้นอะไรเกี่ยวกับการลงโฆษณา Facebook Instagram ก็ถามเพิ่มได้นะครับ ผมจะพยายาม Update ข้อมูลเพิ่มเรื่อยๆ

ผมหวังว่าบทความนี้จะให้ความรู้ทุกคนได้ไม่มากก็น้อย หากใครชอบเรียน ชอบศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ การตลาด ผมได้เขียนอีบุ๊คเรื่องข้อมูลการทำธุรกิจ ที่ถูกสอนในโรงเรียนบริหารธุรกิจทั่วโลก ผมตั้งใจทำมาก หวังว่าทุกคนจะชอบครับ อีบุ๊ค ฉลาดรู้ ฉลาดทำธุรกิจ

ข้อมูลในการทำธุรกิจอื่นๆที่เราแนะนำ

Tiger

เจ้าของบล็อก TWN ชอบอ่านหนังสือและข่าวธุรกิจทั้งในไทยและนอกประเทศ พออ่านมาเยอะก็เลยอยากนำความรู้มาแบ่งปัน

บทความล่าสุด